เศรษฐกิจไทย ที่ใครๆ บอกโตแบบ K-Shaped

K-Shaped Recovery คืออะไร?
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบตัว K หรือ K-Shaped Recovery ถูกนำมาใช้ในช่วงวิกฤติโควิด-19 โดยนักเศรษฐศาสตร์มองแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็น 2 กลุ่มที่ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน คือ กลุ่มที่สามารถฟื้นตัวได้ดี และกลุ่มที่ยังฟื้นตัวไม่ได้และมีแต่จะย่ำแย่ต่อเนื่อง เหมือนกับเส้นทแยงมุมของตัวอักษร K ที่มีทั้งชี้ขึ้นและชี้ลง

 

กกร.มองเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวแบบ K-Shaped
เป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ทั่วถึง ในลักษณะ K-Shaped โดยภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจส่วนหนึ่งมีรายได้กลับมาเป็นปกติแล้ว สามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นได้ ขณะที่มีบางส่วนยังมีรายได้น้อยกว่าปกติหรือฟื้นตัวช้าและประสบความยากลำบากในการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน จึงได้ทำการแบ่งกลุ่มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

K-ขาขึ้น
1. กลุ่มที่ฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง ได้แก่ 

  • ธุรกิจด้านสุขภาพ ซึ่งจากความวิตกกังวลจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของบุคคล รูปร่าง หน้าตา เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้เป็นอย่างมาก โดยประเภทธุรกิจสุขภาพและความงามรอบปีบัญชี 2565 มีรายได้ 1,184,181 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2564 มูลค่า 97,052 ล้านบาท
  • ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ผู้คนเริ่มตระหนักและตื่นตัวต่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญ จึงส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มมองหาผลิตภัณฑ์และรูปแบบกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดผลกระทบทางธรรมชาติทั้งปัจจุบันและอนาคต โดยปี 2566 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีจำนวนการจัดตั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสิ้น 197 ราย เติบโตสูงขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปี 2565
  • ธุรกิจด้านบริการดิจิทัลและซอฟต์แวร์ โดยสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงปี 2563-2564 ถือเป็นช่วงที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และผลักดันให้ธุรกิจด้านการบริการดิจิทัลในภาพรวมเติบโตกว่า 36% นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่ตอบโจทย์โลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลและนวัตกรรมทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ รวมทั้งครอบคลุมทุกช่วงวัยของประชากรในสังคม 
  • ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ โดยในปี 2567 คาดว่า จะมีการผลิตและการส่งออกสินค้า เพิ่มขึ้นประมาณประมาณร้อยละ 1.0 - 5.0% YoY เนื่องจากความต้องการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ในการพัฒนาประเทศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ 
  • ธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2567 คาดว่า ภาพรวมตลาดในประเทศและตลาดส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ มีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.6% YoY จาก 3 ปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่ 1) ชิ้นส่วน OEM มีความ ต้องการเพิ่มขึ้นตามทิศทางของยอดการผลิตยานยนต์ที่มีแนวโน้มเติบโต เฉลี่ยปีละ 5.6% 2) การเพิ่มขึ้นของยอดจดทะเบียนรถสะสมที่มีอายุ มากกว่า 5 ปีซึ่เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของตลาดชิ้นส่วน REM และ 3) การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยยังมี Room to Grow อีกมาก

2. กลุ่มที่ฟื้นตัว แต่ระยะสั้นอาจเผชิญความเสี่ยงบ้าง ได้แก่ 

  • ธุรกิจด้านการส่งออก ในปี 2567 ภาคเอกชนคาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ 2 - 3% โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการกลับมาขยายตัวของมูลค่าและปริมาณการส่งออกสินค้าไทยที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มปริมาณการค้าโลกที่เริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัวสะท้อนจากดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมสำหรับยอดคำสั่งซื้อใหม่และแนวโน้มขาขึ้นของวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ กระทรวงพาณิชย์ ตั้งเป้าการทำงานเพื่อผลักดันการเติบโตของมูลค่าการส่งออกในปีนี้ ที่ 1.99% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10 ล้านล้านบาท

 

K-ขาลง
3. กลุ่มที่กำลังทยอยฟื้นตัว ได้แก่ 

  • ธุรกิจท่องเที่ยว โรมแรม ร้านอาหาร และสายการบิน เป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากปัจจัยบวกในการเปิดประเทศและมาตรการสนับสนุนภาครัฐที่ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับภาคธุรกิจในการขยายบริการหรือเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อรองรับตลาดตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2567 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 33 - 34 ล้านคน

4. กลุ่มที่ฟื้นตัวได้น้อยจากการขาดความสามารถในการแข่งขัน ปรับตัวไม่ทัน หรือเผชิญ Disruption จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค ได้แก่ 

  • ธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก ยังคงถูกกดดันจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังเปราะบาง และค่าครองชีพที่สูง ท่ามกลางราคาสินค้าบางรายการที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะต้นทุน อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ยังต้องติดตามรายละเอียดมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ซึ่งผลบวกในการกระตุ้นเศรษฐกิจของมาตรการ คงจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรม สถานะทางการเงินของผู้บริโภค รวมถึงการกำหนดเงื่อนไขการใช้มาตราการในแต่ละมิติ ทั้งในแง่ของการกำหนดพื้นที่และประเภทของร้านค้า ซึ่งจะมีผลต่อยอดขายของร้านค้าที่แตกต่างกัน ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการค้าน่าจะขยายตัวได้ราว 4.0 - 5.0% YoY
  • ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงรอบทิศทาง ทั้งภาวะต้นทุนสูงจากอัตราดอกเบี้ย ค่าแรง รวมทั้งเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ขณะที่ปัจจัยส่งเสริมมาจากภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปี 2567 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามจีดีพี โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 4% 
  • ธุรกิจด้านขนส่งและโลจิสติกส์  มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 3 - 5% ต่อปี จากปัจจัยสนับหนุนภาคการผลิต การค้า และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ อานิสงส์จากการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงธุรกรรมการค้าออนไลน์ซึ่งเป็นที่นิยมขึ้นมาก ขณะที่การแข่งขันด้านราคาก็มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากผู้ประกอบการที่มีจำนวนมากรายและทยอยเพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนค่าขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามค่าเชื้อเพลิง (จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน) และค่าจ้าง ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพ จึงมีประสิทธิภาพในการขนส่งและขยายเครือข่ายพันธมิตรเพื่อสนองตอบการขนส่งอย่างครบวงจร ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันไปยังผู้ประกอบการรายเล็กที่ขาดความสามารถในการแข่งขัน
  • SMEs ขนาดเล็ก ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยังฟื้นตัวได้ช้าและยังเข้าถึงสินเชื่อได้ไม่เต็มที่ ซึ่งกลุ่ม SMEs ขนาดเล็กในจำนวนทั้งหมด 415,722 ราย พบว่ามีธุรกิจที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนสถาบันจำนวน 216,496 ราย หรือคิดเป็น 52% ทั้งนี้จากการสำรวจความเห็นของ SMEs โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่าต้องการเข้าถึงสินเชื่อมากกว่าการพักชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพื้นฐานประเทศไทยจะมีความเข้มแข็ง แต่จากการที่ธุรกิจถูก disrupt จากวิกฤตเศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศ ประกอบกับพึ่งฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 คาดว่า SMEs จำนวน 1 ใน 5 อาจไม่กลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้ง ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นบทบาทสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวและปรับตัวกับวิกฤตต่าง ๆ ในอนาคตต่อไปได้

ท้ายนี้ ภาคเอกชนเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นที่ต้องมุ่งเป้าการช่วยเหลือไปที่กลุ่มธุรกิจที่อยู่ K ขาล่าง ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม SMEs ให้ไม่แย่ลงไปมากกว่านี้ เพื่อให้ประเทศไทยรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศและเดินหน้าเศรษฐกิจให้เติบโตยิ่งขึ้นต่อไป

 

ที่มา : คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.), ธนาคารแห่งประเทศไทย, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี, Krungthai COMPASS, ศูนย์วิจัยกรุงศรี, ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

เรียบเรียงและจัดทำโดย ฝ่ายนโยบายยุทธศาสตร์ หอการค้าไทย