ส่องความเชื่อมั่นเอกชนไทย 5 ภาค ผ่าน TCC CONFIDENCE INDEX ประจำเดือน ธันวาคม 2567

เปิดผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย TCC CONFIDENCE INDEX ประจำเดือน ธันวาคม 2567

โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ระดับ 48.7 ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 48.8 ในเดือน พ.ย. 67 เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 (ตั้งแต่เดือน พ.ค. 67) และอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 (ระดับปกติ) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยสาขาการลงทุน สาขาการท่องเที่ยว และสาขาเกษตรยังเติบโตได้ไม่โดดเด่น ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้ภาคธุรกิจยังไม่กล้าลงทุนเพิ่ม ส่งผลให้ยังไม่มีการจ้างงานเพิ่ม นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า ภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ที่จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.นี้ รวมถึงกรณีที่สหรัฐแซงชั่นรัสเซีย ซึ่งจะมีผลต่อราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซที่อาจสูงขึ้น และทำให้ต้นทุนของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงมีปัจจัยสนับสนุนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนี้

  • กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ต่อปี โดยเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกับศักยภาพ
  • มาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทั้งการช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท และการเตรียมแจกเงิน 10,000 บาท ให้กลุ่มคนอายุ 60ปี ในช่วงเดือนมกราคม 2568
  • จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องยิ่งในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการยกเว้นการยื่นวีซ่านักท่องเที่ยว รวมถึงการขยายระยะเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น
  • การส่งออกของไทยเดือน พ.ย. 67 ขยายตัวร้อยละ 8.17 มูลค่าอยู่ที่ 25,608.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87 มีมูลค่าอยู่ที่ 25,832.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 224.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ครม. มีมติเห็นชอบขยายเวลาคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้ที่ 7% ต่ออีก 1 ปี โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 30 กันยายน 2568 เพื่อส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
  • รัฐบาลประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการ Easy E Receipt โดยมีผลเดือนม.ค.68
  • ราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 ในประเทศปรับตัวลดลงประมาณ 0.10 บาทต่อลิตร จากเดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 35.88 และ 36.25 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศ ยังคงทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา
  • ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้นหรือทรงตัวส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น และกำลังซื้อในต่างจังหวัดเริ่มปรับตัวดีขึ้น

ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ

  • มาตรการส่งเสริมช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ขาดสภาพคล่องจากต้นทุนการทำธุรกิจที่สูงขึ้น จากราคาวัตถุดิบหรือค่าจ้างแรงงาน
  • เร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการกระตุ้นทางด้านการบริโภคของภาคประชาชน
  • การปรับโครงสร้างหนี้ของธุรกิจที่ประสบปัญหามาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบ และสร้างความโปร่งใสในการจัดการปัญหาในระยะยาว
  • มาตรการป้องกันรับมือกับสภาพอากาศที่แปรปรวน เพื่อให้ทุกภาคส่วนตั้งรับในการเผชิญเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
  • การดูแลเยียวยาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติทั้งที่คลี่คลายไปแล้ว และบางพื้นที่กำลังเผชิญอยู่
  • รักษาเสถียรภาพทางด้านการเงินให้สมดุลเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

 

รับฟังการถ่ายทอดสดย้อนหลัง https://www.facebook.com/utccnews/videos/1805325806905827?locale=th_TH

ดาวน์โหลดเอกสาร https://cebf.utcc.ac.th/upload/index_file/file_th_651d14y2025.pdf

 

 

ที่มา : หอการค้าไทย ร่วมกับ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
เรียบเรียงและจัดทำโดย ฝ่ายนโยบายยุทธศาสตร์ หอการค้าไทย