วันที่ 6 มิถุนายน 2567 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 หอการค้าไทย พร้อมด้วยคณะกรรมการแรงงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ให้การต้อนรับคณะผู้บริหาร IM Japan (International Manpower Development Organization) ณ ห้องประชุมหอการค้าไทย โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
IM Japan เป็นรูปแบบองค์กร Public Interest Foundation อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น มีสำนักงาน 15 แห่งในประเทศญี่ปุ่น และมีสาขาต่างประเทศ 5 ประเทศ ซึ่งประเทศไทย ตั้งอยู่ในกระทรวงแรงงาน
โครงการ IM Japan ก่อตั้งเมื่อปี 1993 รับผู้ปฏิบัติงานต่างชาติมาฝึกปฏิบัติงานในประเทศญี่ปุ่น รวม 69,736 คน และเป็นคนไทย จำนวน 6,024 คน ไปฝึกงานในสถานประกอบการกว่า 2,200 แห่งในประเทศญี่ปุ่น การสมัครและทดสอบเข้าร่วมโครงการฯ จะดำเนินการโดยกรมการจัดหางาน ทั้งด้านสมรรถภาพร่างกาย การประเมินความรู้ภาษาญี่ปุ่น โดย IM Japan รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด (มีค่าใช้จ่ายส่วนตัว 7,000 บาท) ปัจจุบันโครงการฯ ประสบปัญหาจำนวนผู้สมัครน้อยลง ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ IM Japan เป็นจำนวนมาก แต่หลังจากที่มีการปิดประเทศไปเป็นระยะกว่า 2 ปี ทำให้การประชาสัมพันธ์โครงการขาดหายไป ประกอบกับผู้ที่เคยรับทราบข่าวสารของโครงการมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนโควิดอาจไปทำงานที่อื่นแล้ว ข้อมูลข่าวสารจึงขาดช่วงไป และหลังจากที่ญี่ปุ่นเริ่มเปิดให้ผู้ฝึกปฏิบัติงานเทคนิคเข้าประเทศแล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกราวเกือบปีอบรมจัดส่งผู้ที่ค้างรออยู่ก่อนปิดโควิดระบาดอีกราว 300 คน หลังจากที่เปิดรับสมัครอีกครั้งในปี 2023 พบว่าจำนวนผู้สมัครลดน้อยลงเป็นอย่างมาก ผู้ที่เคยรู้จักโครงการลดน้อยลงมาก จำนวนคนที่สมัครและสอบผ่านเกณฑ์น้อย แทบไม่เพียงพอต่อการรับของนายจ้างญี่ปุ่น พบว่าในหลายจังหวัดแทบไม่รู้จักโครงการ IM Japan เลยทั้งที่เป็นโครงการรัฐจัดส่งที่มีค่าใช้จ่ายน้อยมาก และอาจประกอบกับปัญหาค่าเงินเยนอ่อนตัว ทำให้คนสนใจไปทำงานที่ประเทศอื่นมากกว่าญี่ปุ่น
การขยายการโอกาสในการทำงานต่อระยะยาวที่ประเทศญี่ปุ่นโดยการทำบันทึกความร่วมมือโครงการแรงงานทักษะเฉพาะ (Specified Skilled Worker) ผู้ที่สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งระยะ 3 ปี หรือ 5 ปี หากประสงค์จะอยู่ทำงานต่อที่ประเทศญี่ปุ่นจะสามารถอยู่ทำงานต่อได้ในวีซ่าแรงงานทักษะเฉพาะ 1 (SSW1) โดยกรอบของวีซ่าแรงงานทักษะเฉพาะ 1 มีระยะ 5 ปี และสามารถขอเปลี่ยนวีซ่าเป็นวีซ่าแรงงานทักษะเฉพาะ 2 (SSW2) ต่อได้อีก ซึ่งมีกรอบของระยะวีซ่า 5 ปีเช่นกัน และมีแนวโน้มว่าจะสามารถทำงานต่อได้ในระยะยาวที่ประเทศญี่ปุ่น นำครอบครัวมาพำนักได้
ประโยชน์ของแรงงานไทยที่จะได้จากบันทึกความร่วมมือฉบับนี้คือ ช่วยส่งเสริมและการเพิ่มโอกาสคนไทยได้มีโอกาสเพิ่มทักษะต่อยอดการทำงานในประเทศญี่ปุ่นในช่องทางรัฐจัดส่งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และสร้างรายได้ส่งกลับประเทศที่ยั่งยืน รวมทั้งลดปัญหาการหลอกลวงคนหางานด้วย โดยกลุ่มผู้ที่ได้รับโอกาส คือ
1) ผู้ที่ใกล้จะสำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่นจะสามารถขอเปลี่ยนวีซ่าเป็นแรงงานทักษะเฉพาะ 1 ที่ประเทศญี่ปุ่นและทำงานต่อในสาขาอาชีพเดิมที่ประเทศญี่ปุ่นได้เลย
2) ผู้ที่สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานกลับประเทศไทยไปแล้ว (ทั้งรัฐจัดส่งหรือเอกชนจัดส่ง)ก็จะสามารถกลับไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นต่อได้อีกในวีซ่าแรงงานทักษะเฉพาะ 1 ในสาขาอาชีพเดิมที่สำเร็จการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคมาได้เช่นกัน
3) ผู้ที่ไม่เคยไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิค หรือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสาขาอาชีพ หากสามารถผ่านการทดสอบทักษะฝีมือแรงงานทักษะเฉพาะในสาขาที่ต้องการไปทำงานได้แล้ว ก็จะสามารถไปทำงานเป็นแรงงานทักษะเฉพาะ 1 ในสาขาอาชีพนั้นๆได้
ทั้งนี้บุคคลทั้ง 3 กลุ่มไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการจัดส่งใดๆ เพราะเป็นการจัดส่ง โดยรัฐ และ IM Japan จะรับผิดชอบค่าบัตรโดยสารเครื่องบินขาเดินทางออกจากประเทศไทยไปประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งจัดทำประกันภัยหมู่สำหรับแรงงานทักษะเฉพาะให้ฟรีด้วย
กรมการจัดหางานร่วมกับ IM Japan ได้จัดทำบันทึกความร่วมมือแรงงานทักษะเฉพาะ และลงนามในบันทึกความร่วมมือแล้วเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2567 ขณะนี้พร้อมที่จะดำเนินการรับแรงงานทักษะเฉพาะแล้ว
ประธานฯ กล่าวชื่นชมโครงการ IM Japan ซึ่งสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ควรเร่งประชาสัมพันธ์โครงการฯ โดยจะนำประเด็นการสร้างคนผ่านโครงการ IM Japan ต่อท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมทั้ง เห็นควรให้นำโครงการ IM Japan หารือในคณะกรรมการการศึกษา หอการค้าไทย เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาด้านอาชีวศึกษาของไทย และประชาสัมพันธ์โครงการให้สมาชิกหอการค้าไทยได้รับทราบโครงการดังกล่าว