การสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนมกราคม 2566
จากผลของการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมกราคม 2566 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือนนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 เป็นต้นมา เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนทั้งการท่องเที่ยวของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังจากที่จีนเปิดประเทศรวมถึงสถานการณ์โควิดในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลงอย่างมากจากช่วงครึ่งปีแรกทำให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายเรื่องค่าครองชีพลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่ยังทรงตัวสูงรวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 46.0 49.0 และ 60.2 ตามลำดับ ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนธันวาคม 2565 ที่อยู่ในระดับ 43.9 47.0 และ 58.1 ตามลำดับ แสดงว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนยังคงกังวลในสถานการณ์โควิดในประเทศไทยและทั่วโลกที่ยังคงมีอยู่แม้ว่าจะคลายตัวลงก็ตาม ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง
การปรับตัวดีขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ที่ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 49.7 เป็น 51.7 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือนนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้าจากวิกฤต COVID-19 อัตราเงินเฟ้อสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนเข้ามาซ้ำเติม ยิ่งส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้น จากระดับ 34.6 เป็น 36.3 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือนนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 เป็นต้นมา ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือนนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 เป็นต้นมา โดยปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 56.9 มาอยู่ที่ระดับ 59.2 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องทุกรายการ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มกลับมาเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น และจะเริ่มจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับในไตรมาสแรกของปีนี้
สรุปผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนมกราคม 2566
-
ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC Confidence Index : TCC-CI) เดือนมกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 47.4 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ 45.5 ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทย
ปัจจัยลบ
• เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกคาดว่าจะมีการชะลอลง แต่ทั้งนี้เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวได้ใกล้เคียงเดิม
• กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.25% เป็น 1.50% ต่อปี
• การส่งออกของไทยเดือน ธ.ค. 65 หดตัวร้อยละ 14.56 14.56 มูลค่าอยู่ที่ 21,718.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนาเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.95 11.95 มีมูลค่าอยู่ที่ 22,752.71ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 1,033.90ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
• ราคาน้ามันขายปลีกแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10 ) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 (E10 )ในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.90 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ระดับ 36.38 และ 36.65 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ามันดีเซลขายปลีกในประเทศ ยังคงทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ระดับ 34.94 บาทต่อลิตร
• สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงจีนกับไต้หวันที่อาจส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาพลังงาน ราคาอาหาร และเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น
• ความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID -19 ที่ยังคงเกิดขึ้นและยิ่งมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทาให้ประชาชนยังต้องระมัดระวังการดาเนินชีวิตประจาวันมากขึ้น
ปัจจัยบวก
• นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจานวนมากขึ้นเนื่องจากประเทศจีนยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด 19 และอนุญาตให้ประชาชนสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 66
• มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2566ให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง อย่างมาตรการช้อปดีมีคืน, มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น
• SET Index SET Index SET Index SET Index เดือน ม.ค. 66ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.80 จุด จาก 1,668.66 ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 65เป็น 1,671.46 ณ สิ้นเดือน ม.ค. 66
• การผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด 19 ทาให้ตลาดเริ่มฟื้นตัวจากโควิด กลับมาดาเนินชีวิตตามปกติ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลท่องเที่ยวและจับจ่ายและการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
• ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้นหรือทรงตัวในระดับที่ดีโดยเฉพาะข้าว มันสาปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น
• ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 34.795 ฿/$ ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 65เป็น 33.225 ฿/$ ณ สิ้นเดือน ม.ค. 66