วันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 หอการค้าไทย โดย คุณสถาปนะ เลี้ยวปะไพ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการเพิ่มความเข้มแข็งให้สมาชิก ได้นำผู้ประกอบการเยี่ยมชม บริษัท คซีจี คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์จากเนย ชีส และบิสกิต ที่มีมาเก็ตแชร์อันดับ 1 ของไทย โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
คุณดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ กรรมการบริหาร บริษัท คซีจี คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ได้บรรยายถึงประวัติความเป็นมาของ KCG มีรากฐานมาจากธุรกิจครอบครัว ห้างหุ้นส่วนจำกัด กิมจั๊วพาณิชย์ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2501 เน้นการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าประเภทเนยและชีส ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ดังอย่าง "อลาวรี่" และ "อิมพีเรียล" เริ่มต้นจากปี พ.ศ. 2515 ก่อตั้งโรงงานผลิตเนยแห่งแรกที่บางนา ภายใต้ชื่อ บริษัท ยูไนเต็ด แดรี่ ฟูดส์ จำกัด โดยนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรจากออสเตรเลียมาใช้ในการผลิตซึ่งเป็นการถือกำเนิดผลิตภัฑณ์เนยคุณภาพดีที่ผลิตได้ภายในประเทศไทย
ต่อมาในปีพ.ศ. 2528 ได้ก่อตั้งโรงงานแห่งที่สองที่บางพลี เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น บิสกิต ขนมอบ และน้ำตาลก้อน โดยเป็นแหล่งผลิตคุกกี๊อิมพีเรียล คุ๊กกี้กล่องแดงรายแรกในไทย
ปัจจุบัน KCG Corporation ได้เติบโตเป็นบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารชั้นนำของประเทศไทย ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนประกอบของนม โดยมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้นแล้วคุณดำรงชัย ยังได้แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับ Trend อาหารที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันและอนาคตอยู่ 3 รูปแบบ คือ
KCG จึงนำ Trend อาหารทั้ง 3 รูปแบบที่กล่าวมา มาปรับเป็น 5 กลยุทธ์ฟิวชั่นนวัตกรรมผสมผสานเพื่ออาหารแห่งโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ โดย KCG ให้นิยามว่า "Fusion กินnovation" ประกอบด้วย
สิ่งเหล้านี้เป็น Trend ของคนรุ่นใหม่ที่ในอนาคตต้องพัฒนาสินค้าให้รองรับกับความต้องการในฐานกลุ่มลูกค้านี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ต่อมาทางได้พาเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาสินค้าอย่าง KCG Excellence Center เป็นศูนย์ R&D ที่คิดค้นสินค้า นวตกรรม ควบคุมคุณภาพ ของสินค้าทั้งหมดของแบร์น และไปส่วนสุดท้ายของกิจกรรมคือการเยี่ยมชมไลน์ผลิตชีสที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 15.7 ตันต่อปีอีกด้วย โดยที่กล่าวมานี้เป็นทีมงานของ KCG ที่วางรากฐานส่วนงานผลิตได้อย่างครอบคลุมที่สามารถขยายกำลังการผลิตได้อย่างยั่งยืน เป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้ประกอบการ SME สามารถนำไปปรับใช้กับองค์กรได้ต่อไป