23 พฤศจิกายน 2566 ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการ หอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต ได้แถลงข่าวร่วม 3 องค์กร (ครั้งที่ 33) เรื่อง สถานการณ์ธุรกิจเกษตรและอาหารในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต โดยมี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสถาบันอาหาร ร่วมเผยส่งออกอาหาร 9 เดือนแรกปี 2566 ทำรายได้เข้าประเทศ 1.16 ล้านล้านบาท โตร้อยละ 4.6 คาดทั้งปีส่งออกได้ 1.55 ล้านล้านบาท ประเมินปี 67 ส่งออกแตะ 1.65 ล้านล้านบาท ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกโตต่ำ เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง สงครามที่คุกรุ่น ความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร และปรากฏการณ์เอลนีโญที่ส่งผลกระทบต่อผลิตเกษตรอาหารทั่วโลก
คุณอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า การส่งออกสินค้าอาหารไทยในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2566 มีมูลค่า 1.16 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรอาหารในหลายภูมิภาคลดลง จึงมีความต้องการสินค้าอาหารมากขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณการสำรองอาหารในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียใต้ ในส่วนของประเทศไทย แม้ผลผลิตวัตถุดิบการเกษตรของไทยหลายรายการจะลดลง แต่สินค้าส่งออกไทยได้รับประโยชน์จากความต้องการและราคาตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่ทำให้เกิดภัยแล้ง โดยเฉพาะข้าวและน้ำตาลทราย โดยตลาดภายในภูมิภาคอย่างจีน อาเซียนเดิม 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม เป็นตลาดหลักที่ส่งผลทำให้ภาพรวมส่งออกอาหารไทยในปี 2566 ขยายตัว
สำหรับแนวโน้มไตรมาสสุดท้ายจะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน เพราะได้รับแรงหนุนจากปริมาณวัตถุดิบการเกษตรฤดูการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาด รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบในกลุ่มอาหารทะเลแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยงที่อ่อนตัวลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลทำให้ปริมาณคำสั่งซื้อของลูกค้ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น คาดทั้งปี 2566 การส่งออกอาหารไทยจะมีมูลค่า 1.55 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5
แนวโน้มส่งออกสินค้าอาหารไทย “อุตสาหกรรมอาหารไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งภาคการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศและอุตสาหกรรมการผลิตที่เน้นการส่งออก อุตสาหกรรมการผลิตที่มีตลาดในประเทศ จะขยายตัวโดดเด่นตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่ ขณะที่การส่งออกอาหารไทยในปี 2567 คาดว่าจะมีมูลค่า 1.65 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่ที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งตามภาคบริการและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขณะที่แรงกดดันจากเงินเฟ้อเริ่มคลายตัวลงหลังทางการประเทศต่างๆ ใช้นโยบายการเงินเข้มงวดในช่วงก่อนหน้า สินค้าอาหารไทยได้รับประโยชน์จากการที่ประเทศคู่ค้ากังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร เช่นเดียวกับปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้ผลผลิตการเกษตรลดลง ความต้องการอาหารเพิ่มขึ้น รวมถึงเงินบาทผันผวนน้อยลงและยังอยู่ในระดับที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมอาหาร โดยในปี 2567 เงินบาทที่คาดว่าจะมีค่าเฉลี่ย 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ใกล้เคียงกับปี 2566 ตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ซึ่งเป็นระดับที่จะเอื้ออำนวยต่อการส่งออกสินค้าอาหารไทย”
ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการ หอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต กล่าวว่า จากตัวเลขรายงานแสดงให้เห็นชัดว่าสถานการณ์ของโลกอยู่ในบรรยากาศชะลอตัวจากสาเหตุต่างๆ ทั้งปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ภาวะเงินเฟ้อจากการขึ้นดอกเบี้ยส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น จากผู้ที่มีหนี้อยู่แล้วทำให้มีหนี้เพิ่มมากขึ้น กระทบต่อกำลังซื้อและความกังวลของผู้บริโภคทำให้ไม่กล้าใช้จ่ายเงิน อย่างไรก็ดี สถานการณ์การส่งออกสินค้าทุกตัวมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน ในช่วง 9 เดือนแรก โดยกลุ่มสินค้าที่สามารถแข่งขันได้ คือ ข้าว และ ไก่ เนื่องจากผู้บริโภคนั้นเริ่มซื้อวัตถุดิบไปทำเอง ประกอบกับสถานการณ์ท่องเที่ยวภายในประเทศดีขึ้น ร้านอาหารหลายๆ แห่งเริ่มทยอยเปิดขึ้นมา และปัจจุบันหลายประเทศให้ความสนใจเรื่อง Food Security ความปลอดภัยด้านอาหารเพิ่มมากขึ้น บางประเทศโดยเฉพาะประเทศคู่แข่งที่ส่งออกอาหารมีมาตรการชะลอหรือลดการส่งออกสินค้าบางชนิด เช่น ข้าว และน้ำมันพืช ในส่วนของสินค้าน้ำตาลทรายมีสัญญาณการค้าขายที่ดี เพราะหลังจากสถานการณ์โควิดหลายประเทศเริ่มมีการนำเข้ามากขึ้น เนื่องจากน้ำตาลทรายเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายชนิดและเครื่องดื่ม ในด้านผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวของไทย เช่น กะทิ และน้ำมะพร้าว ได้รับความสนใจมาก โดยตลาดหลักคือ จีน รองลงมาคือไต้หวัน นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาบริโภคผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวของไทยมากขึ้น และน้ำมะพร้าวน้ำหอมไทยยังเติบโตได้ดีมากในประเทศจีน
สำหรับสินค้าตัวที่ติดลบอยู่นั้น จะเห็นได้ว่าหลายประเทศมีการนำเข้าไปก่อนหน้านี้เพื่อไปสต๊อกเก็บไว้ จึงต้องมีการทะยอยใช้ของในสต๊อกไปก่อน จึงส่งผลให้ลดการนำเข้าสินค้าในบางตัว ในส่วนของอาหารพร้อมรับประทาน Ready to eat ประเภท Single Serve ถือว่าเป็นสัญญาณดีเพราะผู้บริโภคมีความต้องการมากขึ้น ผู้ประกอบการไทยทำผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น อีกทั้งราคาของไทยยังสามารถแข่งขั้นได้เมื่อเปรียบเทียบกับราคาในร้านอาหาร ในด้าน Future Food มีการส่งออกมาก แต่มี Pain Point 2 เรื่อง คือ 1) รสชาติที่ต้องพัฒนาให้ดีขึ้น ข้อดีเป็นอาหารเชิงสุขภาพ และ 2) ความหลากหลาย (Diversify) เนื่องจาก Alternative Protein เป็นอาหารทดแทนเนื้อสัตว์จากพืช ซึ่งมีการผลิตแต่ละครั้งน้อย ยังไม่สามารถทำ Economies of Scale ได้ ส่งผลให้มีต้นทุนสูง การรับรู้ของผู้บริโภคยังอยู่เฉพาะกลุ่มที่จำกัด ต้องขยายในกลุ่ม Flexitarian ออกไป
สำหรับภาคเกษตร จากการจัดสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 41 ที่ผ่านมา ได้มีการยื่นข้อเสนอในสมุดปกขาวต่อด้านเกษตรและอาหาร คือ การพัฒนาขับเคลื่อนการยกระดับเกษตรมูลค่าสูงผ่านการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ (Area-based) โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เกษตรแม่นยำ พัฒนาพันธุ์พืชที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พื้นที่ปลูกพืชเกษตรมูลค่าต่ำไปสู่เกษตรสมัยใหม่ ดึงคนรุ่นใหม่มาช่วยสร้างนวัตกรรม เพื่อให้เกิด Productivity ลดต้นทุน สร้างมาตรฐานและความปลอดภัย เน้นตลาดนำการผลิต รวมถึงการบริหารจัดการน้ำควบคู่ไปด้วย เช่น ธนาคารน้ำใต้ดิน และคลองส่งน้ำเชื่อมโยงระบบส่งน้ำขนาดใหญ่ เป็นต้น
ด้านแรงงานประเทศไทยถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ขาดแคลนแรงงาน ประกอบกับสถิติการเกิดที่ลงลด จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องค่อยๆ เสริมเรื่องเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามาใช้เรื่อยๆ พร้อมนำองค์ความรู้เรื่องใหม่ๆ เข้ามาด้วย ให้ทันต่อสถานการณ์โลก ทั้งเรื่องการนำ BCG Model และ ESG มาใช้กับภาคธุรกิจเพื่อส่งเสริมและพัฒนาภาคธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน
นอกจากนี้ หอการค้าไทย ได้ร่วมขับเคลื่อนโครงการธนาคารอาหาร (Food Bank) ของประเทศไทย และสนับสนุนการรวบรวมและส่งต่อผลผลิตการเกษตรส่วนเกินจากภาคการผลิตเพื่อแปรรูปเป็นอาหารให้แก่ชุมชนที่ขาดแคลน โดยได้ดำเนินการส่งต่ออาหารแล้ว 1.4 ล้านมื้อ ช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 8 แสนกิโลกรัม แก้ไขปัญหา Food Waste และช่วยตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืน
นายเจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ ภายใต้กรอบ FTA เป็นเรื่องสำคัญ โดยสินค้าที่มีศักยภาพของไทยได้แก่ ข้าว ไก่เนื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มประเทศกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ GCC คูเวต ที่มีความต้องสินค้าอาหารบรรจุกระป๋องจากไทยในตลาดมากกว่า 50% ขณะเดียวกัน ประเทศไทยจำเป็นต้องส่งเสริมเรื่องการจัดการน้ำทั่วประเทศ โดยพัฒนาระบบชลประทาน ระบบน้ำบาดาล การกักเก็บน้ำฝน รวมถึงการปลูกพืชที่เหมาะสมกับการใช้น้ำในแต่ละภูมิภาค มีการทำเกษตรรูปแบบ Smart Farming รวมถึงใช้การท่องเที่ยวช่วยยกระดับสินค้าเกษตรเกษตร เป็นต้น