สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ออกมาตรการด้านการเงิน ทั้งมาตรการพักชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายทั้งเกษตรกร ประชาชนรายย่อย และผู้ประกอบการในพื้นที่ สามารถลดภาระต้นทุนและให้มีเงินทุนหมุนเวียน สามารถฟื้นฟูกิจการ ปรับปรุงและซ่อมแซมอาคาร โรงงาน เครื่องจักร เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ ได้แก่
• ธนาคารออมสิน
• ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
• ธนาคารอาคารสงเคราะห์
• ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
• ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
• ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
• บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเร่งด่วน ตามนโยบายรัฐบาล พักต้น ลดดอกครึ่งหนึ่ง นาน 3 เดือน กู้ฉุกเฉิน 0% ไม่ต้องมีหลักประกัน กู้ซ่อมบ้านได้ 100% เตรียมจับมือภาคีร่วมเปิด คลินิกสารพัดซ่อม ฟื้นฟูเยียวยาหลังน้ำลด ประกอบด้วย
1) มาตรการพักชำระหนี้ สำหรับลูกค้าสินเชื่อรายย่อยที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 10 ล้านบาท ได้รับการพักชำระหนี้เงินต้นและลดดอกเบี้ยร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยหลังครบกำหนดผ่อนผันพักชำระหนี้ครบ 3 เดือนแล้ว ให้ชำระเงินงวดตามสัญญาเดิม หากยังไม่สามารถชำระหนี้ต่อได้ สามารถปรึกษากับเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินเพื่อหาแนวทางอื่นต่อไป
2) มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
• โครงการสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ วงเงินต่อรายไม่เกิน 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 0.6 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 15 เดือน ปลอดชำระเงินงวดใน 3 เดือนแรก หลังจากนั้นเดือนที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ 0.60% ต่อเดือน
• โครงการสินเชื่อเคหะแก่ผู้ประสบภัย วงเงินกู้ต่อรายสูงสุดร้อยละ 100 ของราคาประเมิน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 2 ต่อปี
นอกจากนี้ ธนาคารออมสินเตรียมร่วมมือกับภาคีเครือข่าย โดยเฉพาะวิทยาลัยเทคนิคในพื้นที่จัดตั้ง “คลินิกสารพัดซ่อม” เพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูเยียวยาหลังน้ำลด ในการดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซม ทั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัย อุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน รถจักรยานยนต์ และอื่น ๆ ที่ได้รับความเสียหาย ตลอดจนสำรวจความต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมด้านต่าง ๆ ต่อไป
1) มาตรการพักชำระหนี้ แบ่งเป็น 2 กรณี ได้แก่
• กรณีหนี้ถึงกำหนดชำระหรือหนี้ค้างชำระ 0-3 เดือน สามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยการขยายระยะเวลาชำระหนี้ไม่เกิน 20 ปี กรณีลูกค้าไม่สามารถชำระดอกเบี้ยค้างชำระได้ทั้งหมด ให้ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นไม่เกิน 3 ปี ยกเว้นดอกเบี้ยปรับทั้งจำนวน และกรณีลูกค้าสามารถชำระดอกเบี้ยค้างชำระได้ร้อยละ 20 จะตัดชำระเงินต้นร้อยละ 50 และตัดชำระดอกเบี้ยร้อยละ 50
• กรณีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) สามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยการขยายระยะเวลาชำระหนี้ไม่เกิน 20 ปี ลดอัตราดอกเบี้ยปรับทั้งจำนวน และลดภาระหนี้และดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 70 เมื่อชำระหนี้ได้ตามสัญญาใหม่
2) มาตรการเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูลูกค้า วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท ได้แก่
• โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ปี 2567/68 วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ย *Minimum Retail Rate หรือ MRR (*MRR (Minimum Retail Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย) (ปัจจุบัน MRR ของ ธ.ก.ส. เท่ากับร้อยละ 6.975 ต่อปี) ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก
• โครงการสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิต วงเงินต่อรายไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR - 2 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 15 ปี
1) มาตรการลดเงินงวดและลดอัตราดอกเบี้ย สำหรับลูกค้าปัจจุบันจะได้รับการลดเงินงวดร้อยละ 50 จากเงินงวดที่ชำระปกติ และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหลือร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน
2) มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สำหรับลูกค้าใหม่หรือลูกค้าปัจจุบัน สามารถขอสินเชื่อเพิ่มเติมหรือสินเชื่อใหม่เพื่อปลูกสร้างอาคารทดแทนหลังเดิมหรือซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย วงเงินต่อรายไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 2 ต่อปี
3) มาตรการประนอมหนี้ สำหรับลูกค้าที่ค้างชำระเงินงวดติดต่อกันมากกว่า 3 เดือนหรืออยู่ระหว่างการประนอมหนี้จะได้รับการปลอดชำระดอกเบี้ยและเงินงวดใน 6 เดือนแรก กรณีลูกค้าที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ผู้กู้ร่วมหรือทายาทสามารถผ่อนชำระต่อในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปีตลอดระยะเวลาคงเหลือ และกรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังและไม่สามารถซ่อมแซมได้สามารถยกเว้นหนี้ในส่วนของอาคารและผ่อนชำระต่อเฉพาะในส่วนของที่ดินที่คงเหลือ
4) มาตรการสินไหมเร่งด่วน สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติจะพิจารณาสินไหมอย่างเร่งด่วน (Fast Track) เป็นกรณีพิเศษ
มาตรการ “พัก-ลด-ขยาย-ปรับ-เติม”
• พักชำระหนี้เงินต้น สูงสุด 12 เดือน
• ลดค่างวดผ่อนชำระเหลือจ่ายดอกเบี้ยเพียง 50% สูงสุด 12 เดือน
• ขยายระยะเวลาการชำระหนี้สูงสุด 7 ปี/ ขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาเงินสูงสุด 120 วัน
• ปรับเปลี่ยนหนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะยาว ผ่อนชำระสูงสุด 5 ปี
• เติมทุนฟื้นฟูกิจการ ด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “Smile Biz ธุรกิจยิ้มได้” เงื่อนไขผ่อนปรน สร้างโอกาสให้เข้าถึงแหล่งทุน ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำธุรกิจมาเพียง 1 ปี สามารถกู้ได้ วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น MLR-1.0% หรือ 6.50% ต่อปี ผ่อนชำระนานสูงสุด 7 ปี พร้อมปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 6 เดือน
ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งในส่วนของวงเงินกู้ระยะสั้นและวงเงินกู้ระยะยาว โดยเพิ่มวงเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นชั่วคราวสูงสุด 20% ของวงเงินเดิม เปลี่ยนแปลงภาระหนี้้ระยะสั้น เป็นภาระหนี้้ระยะยาว ผ่อนชําระเงินกู้ระยะสั้นได้นานสูงสุด 3 ปี และระยะยาวสูงสุด 7 ปี ลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาว และพักชําระหนี้เงินต้นนานสูงสุด 1 ปี เพื่อให้ลูกค้าของ EXIM BANK สามารถดําเนินธุรกิจส่งออกหรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ตลอดทั้ง Supply Chain ได้อย่างต่อเนื่อง
1) มาตรการช่วยเหลือสําหรับวงเงินกู้ระยะสั้น
• ขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงิน สูงสุด 180วัน
• เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว สูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม ทั้งนี้ ไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม
• เปลี่ยนแปลงภาระหนี้้ระยะสั้น เป็นภาระหนี้้ระยะยาว ผ่อนชําระสูงสุด 3 ปี
2) มาตรการช่วยเหลือสําหรับวงเงินกู้ระยะยาว
• ขยายระยะเวลาเงินกู้ สูงสุด 7 ปี
• ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ปีแรกลง 0.50% หรือ จ่ายดอกเบี้ยเพียง 50% ในช่วง 6 เดือนแรก
• พักชําระหนี้้เงินต้น สูงสุด 1 ปี
สำหรับกลุ่มลูกค้าเดิมที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติจะได้รับการพักชำระหนี้เงินต้น ชำระเฉพาะอัตรากำไร เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน โดยให้ขยายระยะเวลาออกไปไม่เกินระยะเวลาที่พักชำระและได้รับการยกเว้นค่าชดเชยผิดนัดชำระ (Late charge) ที่เกิดขึ้นทั้งจำนวนจนถึงวันที่ปรับปรุงบัญชี
ระยะเวลารับคำขอตั้งแต่วันนี้ - สิ้นสุด 30 กันยายน 2567
1. กลุ่มลูกค้า SMEs
• มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ และค่าจัดการค้ำประกัน เป็นระยะเวลา 6 เดือน
• เป็นลูกค้าปัจจุบันของ บสย. ที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 6 จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ประกาศ ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2567 ได้แก่ จังหวัด เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ เพชรบูรณ์ และอุดรธานี หรือที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้มีการประกาศเพิ่มเติมต่อไป
2. กลุ่มลูกหนี้ของ บสย.
• พักชำระค่างวด เป็นระยะเวลา 3 เดือน
• เป็นลูกหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับ บสย. และไม่ผิดนัดชำระหนี้
• สถานที่ประกอบการ ตั้งอยู่ในพื้นที่ ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
1) มาตรการแบ่งเบาภาระลูกค้าสินเชื่อปัจจุบัน
• สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบุคคล (Term Loan) สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SSME (Term Loan) ปรับลดค่างวดการชำระหนี้ลง 50% นาน 6 เดือน และ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% ต่อปี นาน 6 เดือน
• สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME ให้ความช่วยเหลือครอบคลุม ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ย ลดค่างวดการชำระหนี้ พักชำระเงินต้น ชำระเฉพาะดอกเบี้ย หรือพักชำระเงินต้น และ/หรือ พักชำระดอกเบี้ยบางส่วน ขยายระยะเวลาสัญญา/ปรับตารางผ่อนชำระหนี้ เป็นต้น โดยเงื่อนไขและเกณฑ์การพิจารณาลูกค้าแต่ละรายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งธนาคารจะพิจารณาให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เพื่อลดภาระทางการเงิน และสะท้อนภาวะเศรษฐกิจและรายได้ของลูกค้าที่น่าจะฟื้นตัวในอนาคต
2) มาตรการสินเชื่อเพื่อซ่อมบ้าน/ ฟื้นฟูกิจการ
• สินเชื่อบ้าน Top up หรือ สินเชื่อบ้านแลกเงิน รับอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน เดือนที่ 4-12 อัตราดอกเบี้ย 2.75% ต่อปี ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 6.4% ต่อปี และปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MLR +0.5%ต่อปี หรือ ทางเลือก รับอัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี ในช่วง 3 ปีแรก ปีถัดไป อัตราดอกเบี้ย MLR+0.5% ต่อปี ฟรีค่าประเมินราคาและค่าจดจำนอง
• สินเชื่อบุคคล (Term Loan) และสินเชื่อเพื่อธุรกิจ SSME (Term Loan, OD, PN) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% ต่อปี เป็นเวลา 12 เดือน
ผลกระทบจากชูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ ทำให้เกิดน้ำป่าทะลักไหลเข้าสู่พื้นที่จังหวัดเชียงรายหลายรอบ สร้างความเสียหายต่อชีวิตทรัพย์สิน บ้านเรือนประชาชน พื้นที่การเกษตร ร้านค้าในเขตเศษฐกิจได้รับความเสียหาย ถือว่าเป็นเหตุการณ์หนักสุดในรอบ 60 ปี ในเบื้องต้น หอการค้าไทย ได้ส่งมอบความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดเชียงราย และจังหวัดอื่นไปแล้ว แต่ความเดือดร้อนยังไม่บรรเทาเบาบาง จึงขอเชิญชวนทุกท่านได้ร่วมแสดงความห่วงใย โดยการร่วมบริจาคเงินสมทบทุนมูลนิธิพาณิชย์สงเคราะห์ เพื่อส่งมอบน้ำใจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยเร่งด่วนต่อไป
โดยร่วมบริจาคเงิน ผ่านทาง “มูลนิธิพาณิชย์สงเคราะห์” ธนาคารกสิกรไทย สาขาเสาชิงช้า (ออมทรัพย์) บัญชีเลขที่ 004-2-39457-2
** เงินบริจาค สามารถลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า
ติดต่อบริจาคได้ที่: ฝ่ายพัฒนาสังคมฯ หอการค้าไทย โทรศัพท์: 02-018-6888 ต่อ 2830 (อิสริยาภรณ์) หรือ 2860 (รัตน์วรา) E-mail: isariyaporn.pu@thaichamber.org หรือ ratwara.th@thaichamber.org