1. พฤติกรรมการชำระหนี้
ทำอย่างไรให้ธนาคารรู้จักเราพอสมควร เราเป็นใคร ทำธุรกิจอะไร ประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร สิ่งนี้ถือเป็นด่านแรกที่ธนาคารจะตรวจสอบ เพื่อดูว่าลูกค้ารายนี้เป็นลูกค้าที่ดีหรือไม่ เคยติดยอดค้างชำระอะไร ซึ่งในปัจจุบัน การยื่นขอสินเชื่อธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อ SME หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ซื้อรถ ซื้อบ้าน ทุกคนต้องแสดงตัวตนเรื่องประวัติการชำระหนี้ จากการตรวจสอบประวัติเครดิต หรือที่เรียกว่า “เครดิตบูโร”
2. เตรียมบัญชีธุรกิจ
การเตรียมบัญชีของกิจการหรือธุรกิจ ธนาคารจะขอดูเรื่องการเดินบัญชีว่ามีเงินเข้ามากกว่าเงินออกหรือไม่ โดยจะดูเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 6 เดือน หรือ 1 ปี ขึ้นอยู่กับอายุของกิจการ
3. วัตถุประสงค์การกู้
แผนธุรกิจหรือแผนงานการลงทุนที่จะขอกู้ การกู้ในครั้งนี้จะนำไปลงทุนในส่วนไหนของกิจการ นำไปลงทุนขยายงาน หรือไปใช้หมุนเวียนในกิจการ เรื่องเหล่านี้ต้องตอบธนาคารให้ชัดเจน เพราะการจะกู้เงินได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับแผนงานของธุรกิจด้วยว่า เรามีความรอบคอบในการจัดแผนงานหรือไม่ มีการวางแผนและประมาณการไปข้างหน้าว่า ได้เงินแล้วจะทำอะไร อย่างไร ขณะเดียวกัน แผนการใช้เงินกู้ไปลงทุนทำธุรกิจนั้น ต้องมีความชัดเจนว่า เป็นการสร้างรายได้ มากกว่ารายจ่าย และรายได้นั้นยังสูงพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นได้
4. เอกสารที่นอกเหนือจากแผนธุรกิจ
คือเอกสารของตัวผู้กู้ เช่น หนังสือรับรอง หนังสือจดทะเบียนบริษัท ในกรณีบุคคลธรรมดา เช่น ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน ต้องเตรียมไปให้พร้อม รวมถึงเอกสารที่เป็นประโยชน์ต่อกิจการ
5. ศึกษาข้อมูลสินเชื่อ
การปรึกษาธนาคารเกี่ยวกับสินเชื่อที่จะขอว่ามีกี่ประเภท แบบไหนบ้าง สินเชื่อแบบไหนควรเข้าไปปรึกษาที่ธนาคารใด หรือจะสอบถามผ่านธนาคารที่มีบัญชีอยู่แล้ว หรือสอบถามทาง บสย. ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการให้ข้อมูลและคำแนะนำว่า สินเชื่อแบบไหน มีธนาคารใดให้บริการอยู่ และผู้กู้ต้องการกู้เงินระยะสั้น หรือระยะยาวอย่างไร รวมทั้ง โอกาสใช้คืนหนี้ต้องสัมพันธ์กับอายุของหนี้ที่จะกู้
6. ให้ข้อมูลกับธนาคารถูกต้อง ครบถ้วน
ข้อมูลกิจการที่ให้กับธนาคารต้องชัดเจน ถูกต้อง เป็นข้อมูลที่ตอบธนาคารได้อย่างมั่นใจ เพราะธนาคารจะตรวจสอบประวัติในทางอื่น เพื่อประกอบความมั่นใจ โดยเฉพาะพฤติกรรมการค้างชำระหนี้ผ่านเครดิตบูโร
7. เตรียมสัดส่วนเงินทุน
การเตรียมสัดส่วนเงินทุน ทั้งทุนของเราเองกับเงินที่กู้ธนาคาร ปกติในการกู้ ธนาคารจะไม่ได้ให้กู้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อเอาไปลงทุน แต่จะต้องมีสัดส่วนการลงทุนที่มีส่วนเงินของเจ้าของกิจการด้วย โดยทุนในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินสดอย่างเดียว อาจจะเป็นรถที่ซื้อใช้ในกิจการ บ้านที่เป็นที่อาศัยและออฟฟิศในตัว หรือเป็นที่สต๊อกสินค้า ให้แจ้งกับธนาคารว่าเป็นส่วนที่กิจการต้องการใช้ลงทุนเบื้องต้น
8. ศึกษาแนวโน้มธุรกิจ
เมื่อดำเนินธุรกิจมาระยะหนึ่งแล้ว ต้องมีการศึกษาข้อมูลมาประกอบว่า โอกาสในอนาคตธุรกิจที่ทำอยู่นั้นเป็นอย่างไร เพราะในการขอสินเชื่อ ธนาคารจะมองแผนธุรกิจที่วางไว้ว่าต้องไปในทิศทางเดียวกันกับศักยภาพของธุรกิจในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตด้วย
9. เตรียมข้อมูลเพิ่ม กรณีได้สินเชื่อไม่ตรงตามความต้องการ
ควรเตรียมเอกสารหรือข้อมูล เพื่อที่จะให้กับธนาคารเพิ่มเติม และค่อย ๆ หาเหตุผลประกอบ กรณีที่ธนาคารไม่สามารถให้สินเชื่อเต็มวงเงินตามที่เราต้องการได้
10. หลักประกัน
การขอสินเชื่อ คือการสร้างความมั่นใจให้กับธนาคารว่า กิจการจะสามารถชำระเงินคืนได้ ในระยะเวลา และจำนวนเงินที่ธนาคารกำหนด แต่ในเรื่องการรองรับความเสี่ยง แม้ว่าธนาคารจะพิจารณาสินเชื่ออย่างดี และอนุมัติสินเชื่อให้กับธุรกิจตามต้องการแล้ว แต่ธนาคารเอง ก็ต้องมีการบริหารความเสี่ยง จึงต้องให้ลูกค้าวางหลักประกัน เพื่อเป็นตัวลดความเสี่ยง เช่น ที่ดิน สำนักงาน เพื่อที่จะขายชำระหนี้แทน ในกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่ง บสย. เป็นหนึ่งในหลักประกันที่ผู้กู้สามารถใช้บริการได้ เพื่อให้ธนาคารมีความเชื่อมั่นในการอนุมัติสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs มากขึ้น หากลูกหนี้ติดขัดหรือค้างชำระ ก็ยังมีโอกาสได้เงินกู้บางส่วนคืนจากการรับประกันของ บสย.
ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนไม่น้อยประสบปัญหาด้านการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทุนหมุนเวียน การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน พอจะกู้ก็ไม่มีหลักทรัพย์ หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่เพียงพอในการขอสินเชื่อจากธนาคาร ดังนั้น การค้ำประกันและหลักประกันจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ธนาคารใช้ประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อ เพื่อให้มั่นใจว่าหากผู้ขอสินเชื่อชำระหนี้ไม่ได้ สถาบันการเงินยังมีทางที่จะได้เงินคืน เช่น สามารถยึดหลักประกันมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ที่ค้างอยู่ หรือให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทน โดยหลักทรัพย์ที่นิยมนำมาเป็นหลักประกัน เช่น เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงิน หุ้นกู้ และอสังหาริมทรัพย์ ในกรณีสินเชื่อที่มีบุคคลค้ำประกัน สถาบันการเงินก็จะพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ค้ำประกันประกอบด้วย
แต่หาก SMEs ไม่มีหลักทรัพย์เพียงพอ ก็ยังมีอีกทางออกหนึ่ง นั่นคือการใช้บริการค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย. ซึ่งปัจจุบัน บสย.มีโครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs ยั่งยืน (PGS ระยะที่ 11) วงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยจัดสรรวงเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเป้าหมาย ใน 3 รูปแบบ ดังนี้
1. บสย. SMEs Ignite Biz วงเงินค้ำประกันรวม 10,000 ล้านบาท เฉพาะ SMEs ประเภทนิติบุคคล ที่ประกอบธุรกิจอยู่ในกลุ่ม ISIC Code ที่ บสย. กำหนดตามวิสัยทัศน์ IGNITE Thailand ของรัฐบาลทั้ง 8 ด้าน ได้แก่ ศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ ศูนย์กลางอาหาร ศูนย์กลางการบิน ศูนย์กลางขนส่งของภูมิภาค ศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล และศูนย์กลางทางการเงิน โดยยื่นคำขอให้ค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 2 แสนบาท สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท ต่อราย
2. บสย. SMEs Ignite One วงเงินค้ำประกันรวม 7,000 ล้านบาท เฉพาะ SMEs ประเภทบุคคลธรรมดา ที่ประกอบธุรกิจอยู่ในกลุ่ม IGNITE Thailand 8 ด้าน เช่นเดียวกัน โดยค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 2 แสนบาท สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท ต่อราย
3. บสย. SMEs Smart Green วงเงินค้ำประกันรวม 1,000 ล้านบาท เป็น SMEs ประเภท นิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา ที่ได้รับสินเชื่อภายใต้ Product Program สินเชื่อสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมของสถาบันการเงิน โดยยื่นคำขอให้ค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท สูงสุดไม่เกิน 40 ล้านบาท ต่อราย
โดยสรุปแล้ว ก่อนจะขอสินเชื่อใด ๆ ก็ตาม ควรพิจารณาความจำเป็นในการใช้เงิน มองหาสินเชื่อที่เหมาะกับวัตถุประสงค์ที่จะใช้ ซึ่งมีอยู่หลากหลาย ทั้งธนาคารของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์ พร้อมกับประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตนเอง เตรียมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ให้พร้อม ส่วนเรื่องหลักประกัน ถ้าใครยังมีไม่เพียงพอ...บสย.ก็เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งครับ
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก บสย.
สนใจเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือการค้ำประกันสินเชื่อ สามารถสอบถามได้ที่
• บสย.Call Center โทร. 02 890 9999
• ฝ่ายประสานงานสิทธิประโยชน์ SMEs หอการค้าไทย โทร. 02 018 6888 ต่อ 2660