SMART to Know

SMART to Know

ธุรกิจจะเดินหน้า ถามตัวเองว่า มีสิ่งนี้หรือยัง?

โดย ภูเมษ ถิระเดชาพงศ์
       ผู้ชำนาญการบริหารสายงานจัดซื้อ บมจ. ซีพีออลล์

 

คำถามพื้น ๆ แต่ชวนคิด “ก่อนตัดสินใจดำเนินธุรกิจ ท่านมีสิ่งนี้หรือยัง? “ 

คำว่า “สิ่งนี้” หลายท่านคงตอบเลยว่า “เงิน ยังไงล่ะ!” บางท่านก็บอกว่า “สินค้า (บริการ) ต้องมีแน่นอน!” เชื่อว่า 2 สิ่งนี้อยู่ในใจและความคิดของหลายท่าน ใช่ครับ มันต้องมี ข้อนี้ไม่เถียง แต่ว่า “อะไรควรจะมาก่อน?”
สำหรับท่านที่บอกว่า “เงิน” อนุมานว่า ท่านต้องทราบแน่ชัดแล้วว่า จะเอาเงินมาจากไหน และใช้ลงทุนใช้จ่ายเรื่องอะไรเพื่อการใด ถูกต้องไหมครับ ส่วนท่านที่บอกว่า “สินค้า (บริการ)” ก็คิดเองว่า คือสิ่งที่ท่านปรารถนาอยากมี อยากทำ อยากขายให้กับลูกค้า เพื่อแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการ เพื่อแลกกับรายได้ที่จะเข้ามาในกิจการ 
แต่อยากชวนท่านคิดต่ออีกนิดว่า กว่าที่เงินจะมา กว่าที่สินค้า (บริการ) จะเกิดขึ้นนั้น มันต้องมี “หลักการหรือแนวความคิดทางธุรกิจ” อันเป็นจุดเริ่มต้นก่อนถูกต้องไหม ซึ่งนี้แหละที่นำมาสู่สิ่งที่เรียกเป็นคำเท่ ๆ ว่า “โมเดลธุรกิจ” (BUSINESS MODEL)

โมเดลธุรกิจคืออะไร สำคัญอย่างไร

ก็เหมือนใครหลายคนที่มักถูกถามว่า โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร เป็นหมอ เป็นครู เป็นทหาร ตำรวจ ฯลฯ หรือหากมีบ้านสักหลังอยากมีบ้านสไตล์ไหน บ้านเดี่ยว คอนโด อาคารพาณิชย์ หรือถามว่ามีแฟน อยากมีแฟนแบบไหน สวยแบบดารา หล่อล่ำแบบซิลเวสเตอร์ สตอลโลน พ่อรวย อะไรทำนองนี้ สิ่งเหล่านี้คล้ายกับภาพในจินตนาการที่ฝังในใจ ในสมองของแต่ละคน
แต่โมเดลธุรกิจนั้น แค่วาดภาพในจินตนาการนั้นมันไม่พอ และอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในธุรกิจ พาลเอาเจ๊งได้หากไม่ชัดเจนและไม่ไปทางเดียวกัน คำถามคือ แล้วโมเดลธุรกิจคืออะไร สำคัญอย่างไร 

คำตอบท่านสามารถหาได้ใน Google แต่จะขอชี้แจงตามความเข้าใจส่วนตัวว่า โมเดลธุรกิจ (BUSINESS MODEL) ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพ ก็เปรียบเสมือนกับแปลนบ้าน หรือแบบพิมพ์เขียวที่ระบุว่าบ้าน 1 หลังจะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง หลังคา เสา คาน ห้องต่าง ๆ สนามหญ้า โรงรถ ฯลฯ แต่ละองค์ประกอบก็จะระบุรายละเอียดลึกลงไป และพิมพ์เขียวนี่แหละก็คือ สิ่งที่จะนำไปให้วิศวกรใช้ก่อสร้างบ้านหลังสวยงามขึ้นมาต่อไป 

จะสังเกตว่าโมเดลธุรกิจ ก็จะต้องมี “ขอบเขต” ที่ชัดเจนเสมือนกับขนาดเนื้อที่ (แปลงที่ดิน) ของบ้าน แปลว่าอะไร แปลว่า ถ้ามีเนื้อที่ใหญ่ขึ้น พิมพ์เขียวของบ้านก็สามารถขยายได้ (หรืออาจไม่เปลี่ยนแปลงได้) ถ้าเนื้อที่เล็กลงก็สามารถทำให้กะทัดรัดได้เช่นกัน หลังจากลงมือก่อสร้างบ้านตามพิมพ์เขียวดังกล่าว ในที่สุด เราก็จะได้บ้านหลังสวยงาม (ตามท้องเรื่อง) อย่างที่ใจปรารถนา ท่านเห็นความสำคัญแล้วใช่ไหม

องค์ประกอบของโมเดลธุรกิจ

หลังจากพาทัวร์พิมพ์เขียวบ้าน ก็ขอกลับมาที่โมเดลธุรกิจว่าแล้วมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่จะต้องระบุและชี้แจงได้ว่า นี่แหละคือ โมเดลธุรกิจของท่าน เมื่อบ้านประกอบด้วยหลังคา เสา ห้อง สนามเด็กเล่น สนามหญ้า สระว่ายน้ำ โรงรถ ฯลฯ เวลาที่เราจะทำให้คนอื่นเห็นภาพและเข้าใจโมเดลธุรกิจของเรานั้น ก็มีผู้เชี่ยวชาญและทีมงานได้ออกแบบ “แผนผังโมเดลธุรกิจ หรือ The Business Model Canvas” ดังนี้


ภาพ 1-1 The Business Model Canvas; Alexander Osterwalder

 
ภาพ 1-2 The Business Model Canvas Components Grouping

จากภาพ 1-1 & 1-2 นี่คือ แผนผังโมเดลธุรกิจที่ออกแบบโดยคุณ ALEXANDER OSTERWALDER และทีมงาน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงและมีผู้ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ในประเทศไทยก็นิยมใช้โมเดลดังกล่าวสำหรับอ้างอิงเช่นกัน โดยแผนผังโมเดลธุรกิจนี้จะประกอบไปด้วยองค์ประกอบสำคัญ ดังต่อไปนี้

1. Customer Segments หรือส่วนตลาดกลุ่มเป้าหมาย จะประกอบไปด้วย 2-3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ กลุ่มเป้าหมายหลัก (Primary Market) กลุ่มเป้าหมายรอง (Secondary Market) และกลุ่มที่อาจจะเป็นลูกค้าได้ในอนาคต หรือ Potential Market โดยในช่องนี้ เราจะระบุลักษณะของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งโดยทั่วไปจะนำหลักการตลาดเรื่องการแบ่งส่วนตลาด หรือ STP ( Segmentation, Targeting and Positioning ) มาเป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ตลาดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งท่านจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งภายในและภายนอกมาประมวล และถ้าให้ดูเป็นมืออาชีพ ก็ควรระบุสัดส่วนให้ได้ว่า ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม มีสัดส่วนด้านเพศ อายุ ระดับรายได้ ลักษณะครอบครัว ถิ่นที่อยู่อาศัย และอื่น ๆ เป็นตัวเลขกี่เปอร์เซนต์ ร้อยละเท่าไร อาทิ เพศชายกี่เปอร์เซนต์ เพศหญิงกี่เปอร์เซนต์ ระดับรายได้แต่ละช่วง เป็นกี่เปอร์เซนต์ เป็นต้น

2. Value Propositions หรือคุณค่าที่สินค้า (บริการ) ที่เราส่งมอบแก่ลูกค้า ข้อนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญอันดับต้น ๆ และถือเป็นหัวใจของโมเดลธุรกิจก็ว่าได้นอกเหนือจากที่เรารู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่บอกว่าเป็นหัวใจของโมเดลธุรกิจก็เพราะว่า เรากำลังจะตอบสนองความต้องการด้วยคุณค่าที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น (ขอย้ำว่าเป็นคุณค่าที่โดดเด่นและแตกต่าง) เพื่อให้ลูกค้าหันมาพิจารณาและตัดสินใจซื้อสินค้า (บริการ) ของเราไปใช้และเกิดการซื้อซ้ำ ๆ ตลอดไป ดังนั้น คุณค่าที่ส่งมอบนี้ ท่านจะต้องให้ความใส่ใจและพิถีพิถันในการเข้าใจพฤติกรรมการใช้ชีวิตของลูกค้า ค้นหาจุด Pain Points (ปัญหาที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่ หรือบางกรณีอาจไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องการเสริมภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูโดดเด่น เป็นที่ยอมรับในสังคม)

3. Channels หรือช่องทางการเข้าถึงลูกค้า ในที่นี้ไม่ใช่เพียงเฉพาะช่องทางขายหรือช่องทางจัดจำหน่ายเท่านั้น แต่ครอบคลุมช่องทางสื่อสาร ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า เพื่อสร้างการรับรู้ การปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจผ่านสินค้า (บริการ) หรือแม้แต่องค์กรของเรา อาทิ หน้าร้าน, ร้านค้าปลีกทั่วไป, Supermarket, Hypermarket, Department Store, ร้านสะดวกซื้อ, เคาน์เตอร์, การออกบูธงานต่าง ๆ, สื่อโซเชียล ออนไลน์, Website ฯลฯ

4. Customer Relationships หรือกิจกรรมการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เป้าหมายของเราคือ การทำให้แบรนด์ (ทั้งสินค้าและองค์กร) ของเราเป็นที่รักในใจของลูกค้าตลอดไป รูปแบบกิจกรรมมีความหลากหลาย อาทิ การแจกสินค้าตัวอย่าง การคืนกำไรสู่สังคม การช่วยเหลือสังคมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม การจัดตั้งศูนย์รับข้อร้องเรียน การเผยแพร่ความรู้ ฯลฯ หลักใหญ่ใจความสำคัญในเรื่องนี้คือ การเลือกจัดกิจกรรมที่สามารถเข้าไปนั่งในใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

5. Revenue Streams หรือรายได้ หลังจากผ่าน 4 ช่องแรกแล้ว เราก็มากำหนดและพยากรณ์ความต้องการของลูกค้าในรูปแบบรายได้หรือยอดขายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยเริ่มต้นจากรูปแบบของรายได้ (การขายสินค้า; Online Only, Offline Only หรือ O2O, รายได้จากการให้บริการ, รายได้ Franchise, รายได้ค่าเช่า ฯลฯ ) เราสามารถนำไปวางแผนการบริหารช่องทางการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

หลังจากที่เราทราบลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย คุณค่าที่จะส่งมอบให้ลูกค้า ตลอดจนช่องทางการเข้าถึงลูกค้า กิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า จนกระทั่งมาถึงการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้าในรูปแบบรายได้ ถึงตอนนี้เราก็ต้องกลับมานั่งวิเคราะห์และวางแผนว่า ถ้าจะบรรลุเป้าหมายรายได้หรือยอดขายที่พยากรณ์ดังกล่าว เราจะต้องเตรียมและทำอะไรบ้าง และมีใครจะช่วยเราได้บ้าง ดังต่อไปนี้

1. Key Activities หรือกิจกรรมหลัก ความหมายง่าย ๆ คือ เมื่อเราทราบ 5 องค์ประกอบแรกแล้ว สิ่งสำคัญที่จะต้องทำมีอะไรบ้าง แน่นอนเราต้องมีระบบการผลิต เราต้องมีเทคโนโลยี เราต้องมีการควบคุมคุณภาพ เรามีนวัตกรรมอะไรที่โดดเด่นในอันที่จะพัฒนาสินค้าให้แตกต่างจากคู่แข่งได้ ตลอดจนการปกป้องสิทธิทางการค้า อาทิ การจดสิทธิบัตร (ถ้าเรามั่นใจ) เป็นต้น

2. Key Resources หรือทรัพยากรหลัก ช่องนี้ต่อเนื่องจากช่องกิจกรรมหลัก (Key Activities) แปลว่า ถ้าเราระบุกิจกรรมหลักว่าต้องทำอะไรบ้าง แล้วเราต้องเตรียมทรัพยากรหลัก ๆ อะไรบ้าง อาทิ เครื่องจักร เงินทุน พนักงาน เทคโนโลยี ฯลฯ ช่องนี้ขอให้ท่านระบุทรัพยากรที่สำคัญ ๆ เท่านั้น อาทิ พนักงานที่ต้องการเพื่อบรรลุเป้าหมายเราต้องการคนแบบไหน เช่น IT System, Content Creators, Cloud Computing System ฯลฯ 

3. Key Partners หรือพันธมิตรหลัก เราต้องยอมรับว่าในโลกแห่งความเป็นจริง องค์กรเราไม่ได้เชี่ยวชาญไปเสียทุกด้าน แม้แต่องค์กรขนาดใหญ่ก็เช่นกัน ฉะนั้นจำเป็นต้องมีพันธมิตรที่มาเกื้อหนุนให้เป้าหมายของธุรกิจบรรลุผลสำเร็จ พันธมิตรหลักจึงเป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญ ท่านจะต้องพิจารณาว่า อะไรที่องค์กรต้องการเพิ่มเติมและหน่วยงานใดบ้างที่จะช่วยท่านได้ แน่นอนว่าถ้าต้องการเงินทุนก็คือสถาบันเงินทุน ถ้าต้องการนวัตกรรม หน่วยงานวิทยาศาสตร์หรือสถาบันวิจัยและพัฒนา หรือนวัตกรรมต่าง ๆ ช่วยท่านได้ พันธมิตรหลักของแต่ละองค์กรย่อมแตกต่างกันไป และไม่ได้จำกัดเฉพาะหน่วยงานภาคใดภาคหนึ่งเท่านั้น จึงเป็นภารกิจของท่านที่จะต้องสร้างเครือข่ายความร่วมมือไว้เพื่อความอยู่รอดและความยั่งยืนของธุรกิจ

4. Cost Structure หรือโครงสร้างต้นทุนหลัก ช่องนี้ไม่ได้ต้องการแจกแจงรายละเอียดว่าท่านมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายใด เท่าไร แต่ต้องการให้ท่านระบุต้นทุนและค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่มีผลต่อการแบกรับ อีกทั้งประเมินความสามารถในการทำกำไรควบคู่กับช่องรายได้ของกิจการ (Revenue Streams)

จะสังเกตว่า การร้อยเรียงข้อมูลการจัดทำโมเดลธุรกิจนี้ จะเริ่มต้นจากการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Customer Segments) เรื่อยไปตามลำดับจนถึงโครงสร้างต้นทุนหลัก (Cost Structure)

 
ภาพ 1-3 ตัวอย่าง Business Model Canvas

การจัดทำโมเดลธุรกิจนี้ ก็เหมือนกับการให้ทั้งท่าน ทีมงาน และผู้อื่น เห็น “ช้างทั้งเชือก” ว่าเป็นช้างที่ได้รูปร่าง ได้ทรงหรือไม่ มีอะไรที่บิดเบี้ยวไม่ไปทางเดียวกันบ้าง พูดง่าย ๆ คือ เห็นภาพรวมการดำเนินธุรกิจของท่านนั่นเอง...จะดีไหมถ้าเริ่มต้นด้วยการจัดทำ “โมเดลธุรกิจ”

เงื่อนไขเปลี่ยน ! โมเดลธุรกิจก็ย่อมต้องเปลี่ยนตาม

เป็นเรื่องปกติที่ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้แต่มนุษย์เรายังมีการเติบโต เจ็บป่วย และแก่ชราลง การดำเนินธุรกิจขององค์กรเมื่อถึงเวลาก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งเงื่อนไขการปรับเปลี่ยนมาจากทั้งภายในและภายนอก

  • ปัจจัยภายใน       : วิสัยทัศน์ พันธกิจ นโยบาย และกลยุทธ์ธุรกิจเปลี่ยนแปลง
  • ปัจจัยภายนอก    : สภาพเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี ภาวะการแข่งขัน รูปแบบการดำเนินชีวิต ฯลฯ 

ทั้ง 2 ปัจจัยเป็นเรื่องที่เราต้องเผชิญไม่วันใดก็วันหนึ่ง ฉะนั้น ถ้าเราไม่ต้องการให้ธุรกิจของเราถูก “Disrupt” จากคู่แข่ง ถูก “บูลลี่” ว่าสินค้าล้าสมัยหรือเอาท์ เราจำเป็นต้องติดตามและปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้ทันความเปลี่ยนแปลง

พอเงื่อนไขปัจจัยเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ท่านจะต้องพิจารณาก็คือ “เงื่อนไขการเปลี่ยนแปลง กระทบต่อองค์ประกอบตัวไหนบ้างในโมเดลธุรกิจขององค์กรบ้าง” บางครั้งหรือบ่อยครั้งที่โมเดลธุรกิจของเราอาจต้อง “ปรับใหญ่” เลยก็ได้ คือ ปรับทุกองค์ประกอบ แต่เห็นว่าเป็นการดีที่ช่วยให้เราพิจารณาอย่างรอบคอบทุกองค์ประกอบเลยทีเดียว

แผนธุรกิจ ลายแทงสู่ความสำเร็จ

หลังจากได้รู้จัก “ โมเดลธุรกิจ “ แล้ว ทีนี้เพื่อให้เห็นว่า “ช้างทั้งเชือก (องค์กร) “ สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ถึงตรงนี้ จะพาทุกท่านมาสู่การจัดทำ “แผนธุรกิจ” (BUSINESS PLAN) หรือบางครั้งเราเรียกว่า “แผนธุรกิจเชิงกลยุทธ์” (STRATEGIC BUSINESS PLAN)

เมื่อถึงเวลาที่ช้างเชือกนี้จะออกก้าวเดิน เราจำเป็นต้องกรุยทางอย่างมีทิศทาง สร้างการรับรู้ให้คนในองค์กรเข้าใจและปฏิบัติร่วมกันเพื่อบรรลุผลสำเร็จตามที่ได้วางไว้ ดังนั้น แผนธุรกิจจึงเสมือน “ลายแทงสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ” ขององค์กร

หัวข้อของแผนธุรกิจ

1. บทสรุปผู้บริหาร (EXECUTIVE SUMMARY) ถือเป็นปฐมบทของแผนธุรกิจในการแนะนำองค์กรในภาพใหญ่โดยจะครอบคลุมเนื้อหาดังต่อไปนี้

  • จุดกำเนิดของธุรกิจ (Business Rationale) พูดง่าย ๆ ก็คือ ธุรกิจที่ท่านกำลังดำเนินอยู่มีความเป็นมาอย่างไร อาทิ ต่อยอดจากธุรกิจครอบครัว แยกจากธุรกิจครอบครัว เป็นธุรกิจที่ต่อยอดจากสมัยเรียน ฯลฯ
  • แนวคิดของธุรกิจ (Business Concept) ธุรกิจของท่านต้องการ “ให้หรือส่งมอบคุณค่า” อะไรแก่ผู้บริโภค ตรงนี้ขอให้เป็นคุณค่าภาพรวมของธุรกิจ ไม่ใช่เฉพาะสินค้า (บริการ) รายการใดรายการหนึ่ง
  • ประวัติผู้ก่อตั้ง (Founder Profile) เนื้อหาตรงนี้สำคัญมาก เพราะผู้ก่อตั้งนี่แหละที่เป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจเกิดขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน ระบุถึงการศึกษา ประสบการณ์ แรงบันดาลใจของผู้ก่อตั้ง
  • สถานที่ตั้งโรงงานและสถานประกอบการ ทำเลที่ตั้งของโรงงานหรือสถานประกอบการมีผลต่อธุรกิจอย่างไร อาทิ เข้าถึงแหล่งวัตถุดิบได้ง่าย ส่งผลให้ประหยัดต้นทุนค่าขนส่ง เข้าถึงแหล่งน้ำ ถนน แรงงาน หรือลูกค้า ฯลฯ
  • กลยุทธ์หลักของธุรกิจ
  • SWOT Analysis 
  • ปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factors) ปัจจัยความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน (Competitive Advantage Factors)

2. วิสัยทัศน์และพันธกิจ (VISION & MISSION) คือ ภาพเป้าหมายระยะยาวที่ต้องการจะไปถึง
3. โครงสร้างองค์กรและการจัดการ (ORGANIZATION STRUCTURE) ความสำคัญคือ การทำให้ทั้งผู้ถือหุ้นและสังคมเชื่อมั่น การบริหารธุรกิจอย่างมั่นใจ การวางคนแต่ละระดับ แต่ละตำแหน่ง ตลอดจนสายการบังคับบัญชา ทำให้คนในองค์กรมีความเข้าใจบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ เสมือนโครงสร้างอวัยวะร่างกายนั่นเอง
4. การวิเคราะห์ตลาด (MARKET ANALYSIS) การนำข้อมูลจากทั้งภายใน (ยอดขาย ลูกค้า ประวัติการซื้อ การวิจัยตลาด ฯลฯ) และภายนอก (ข้อมูลประชากร ข้อมูลวิจัยจากสถาบันวิจัยต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือ ฯลฯ) ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเรากำลังจะสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใด และนำไปสู่การระบุข้อมูลในช่อง Customer Segments ของโมเดลธุรกิจด้วย
5. กลยุทธ์การตลาด (MARKETING STRATEGY) หรือที่เราคุ้นเคยกันในเรื่อง “กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด (4Ps)” ประกอบด้วย Product (ผลิตภัณฑ์) Price (ราคา) Place (การจัดจำหน่าย) และ Promotion (การส่งเสริมการตลาด) และนี่คือส่วนสำคัญที่จะนำไปประกอบกับโมเดลธุรกิจเช่นกัน
6. รายละเอียดของผลิตภัณฑ์ (PRODUCT DESCRIPTION) เป็นส่วนที่ขยายส่วนของผลิตภัณฑ์แยกมาจากกลยุทธ์การตลาดด้านผลิตภัณฑ์ โดยระบุถึง

  • แนวคิดของผลิตภัณฑ์ (Product Concept)
  • คุณลักษณะ (Features) และคุณประโยชน์ (Benefits) ของผลิตภัณฑ์; คุณลักษณะคือคุณสมบัติที่โดดเด่นของผลิตภัณฑ์ ในขณะที่คุณประโยชน์ คือ คุณค่าของคุณลักษณะแต่ละอย่างของผลิตภัณฑ์ที่ส่งมอบให้กับลูกค้า ฉะนั้น ทั้ง 2 คำนี้จะต้องควบคู่กันเสมอ ยกตัวอย่างเช่น คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์คือ พัฒนาผลิตภัณฑ์ในรูปแบบแคปซูล คุณประโยชน์ที่ให้แก่ลูกค้า คือ ความสะดวกและความปลอดภัยในการรับประทาน เป็นต้น
  • การสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง (Product Differentiation)
  • การวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ (Product Positioning)
  • การสร้างแบรนด์ (Branding) ฯลฯ

 
ตัวอย่างคุณลักษณะและคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์


7. แผนการผลิตและการควบคุมคุณภาพ (PRODUCTION & QUALITY CONTROL) เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจขั้นตอนการผลิตสินค้า (บริการ) ของท่าน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การนำเสนอสินค้าสู่ตลาดทันตามแผนงาน ตลอดจนเข้าใจและกำหนดจุดควบคุมหลัก (Critical Control Point) รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การลดของเสียจากระบวนการผลิต ฯลฯ

8. แผนการเงิน (FINANCIAL PLAN) ครอบคลุมถึงการจัดทำงบประมาณ การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน ระยะเวลาคืนทุน การจัดหาเงินทุนหมุนเวียน ฯลฯ
9. แผนการพัฒนาบุคลากร (HUMAN RESOURCE DEVELOPMENT PLAN) ครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการสรรหาบุคลากร การพัฒนาบุคลากร การจ่ายผลตอบแทน ไปจนถึงการดูแลพนักงานเมื่อยามลาออกจากบริษัท


10. แผนบริหารความเสี่ยง (RISK MANAGEMENT PLAN) แผนบริหารความเสี่ยงเสมือน “นายท้ายเรือ” ที่จะคอยประคองเรือในยามที่เรือเผชิญกับร่องน้ำเชี่ยวกราด คดเคี้ยว หรือหินโสโครก เพื่อให้เรือและลูกเรือสามารถเดินทางไปต่อได้

“โมเดลธุรกิจ” และ “แผนธุรกิจ” เป็นภารกิจสำคัญอันดับแรกของท่านในฐานะผู้นำองค์กรในการ “ก่อร่าง”, “การวางแผน”, “การบริหาร” ตลอดจน “การควบคุมติดตาม” เพื่อให้ธุรกิจและองค์กรของท่านบรรลุเป้าหมายความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ มันอาจมีการเบี่ยงเบน ผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ถ้าหากมีทั้ง 2 สิ่งนี้ตั้งแต่เริ่ม ก็จะช่วยให้ท่านมี “ลายแทง” นำพาองค์กรเดินไปอย่างมีทิศทาง

วันนี้ ท่านมี 2 สิ่งนี้หรือยัง? ถ้ายัง ต้องเริ่มวันนี้แล้วนะ ….
 

รู้ให้ลึกกับการทำ Business Model Canvas และการจัดทำ "แผนธุรกิจ" ได้ในโครงการ Business Accelerator Gen 6 เตรียมความพร้อมในการพัฒนาธุรกิจ วางแผนการลงทุน และเตรียมความพร้อม เพื่อเพิ่มโอกาสขยายตลาดให้กับธุรกิจ ภายใต้แนวคิด "ปั้นธุรกิจ พิชิต Modern Trade" โดยความร่วมมือของพันธมิตรกว่า 17 องค์กร พร้อมพบกับบริษัทชั้นนำของประเทศ ที่มาช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้ และให้คำปรึกษา Coaching & Mentoring ส่งเสริมให้ธุรกิจพัฒนาได้ง่าย เปิดรับสมัครจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม นี้เท่านั้น สนใจสมัคร คลิก>> https://bit.ly/4ev3g0M