วันที่ 8 พฤษภาคม 2567 คุณวิบูลย์ สุภัครพงษ์กุล กรรมการ หอการค้าไทย ได้รับมอบหมายให้ต้อนรับประธานกรรมการคณะกรรมการสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ (ดร.ธนิต โสรัตน์) และคณะกรรมการฯ เพื่อหารือประเด็น “แรงงานสูงอายุภายใต้บริบทเศรษฐกิจและสังคมสูงวัย” โดยมี คณะกรรมการแรงงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุมฯ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
สถานการณ์แรงงานไทยในปัจจุบัน โดยโครงสร้างกำลังแรงงานของประเทศไทย เดือน มีนาคม ปี 2567 มีผู้มีงานทำจำนวน 39.79 ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำภาคเกษตร 11.53 ล้านคน ผู้มีงานทำภาคการผลิต 6.44 ล้านคน และผู้มีงานทำภาคบริการและการค้า 21.82 ล้านคน โดยสถานการณ์การประชากรของไทย ซึ่งปี 2565 พบว่าอัตราการเกิดใหม่ของเด็กเพียง 5.02 แสนคน ถือเป็นอัตราการเกิดที่ต่ำที่สุดในรอบ 71 ปี และเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเสียชีวิต 5.95 แสนคน สูงกว่าอัตราการเกิด 9.3 หมื่นคน ซึ่งจะส่งผลต่อการขาดแคลนแรงงานและผลิตภาพแรงงานในอนาคต
สถานการณ์ผู้สูงอายุของประเทศไทยโดยในปี 2030 ที่มีการคาดการณ์กันว่าจะมีผู้สูงอายุมากถึง 40% ของประเทศ สังคมสูงวัย คือ สังคมที่มีสัดส่วนของผู้สูงอายุหรือประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ หรือเป็นสังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป เกินกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปถึง 15 ล้านคน ซึ่งนับเป็น 22% จากประชากรทั้งหมด โดยถือเป็น “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์”
ทั้งนี้ คณะกรรมการแรงงานฯ ได้เสนอมุมมองต่อนโยบายแรงงานสูงอายุภายใต้บริบทเศรษฐกิจและสังคมสูงวัย ดังนี้ 1)กำหนดยุทธศาสตร์การส่งเสริมการจ้างงานแรงงานผู้สูงอายุ เพื่อกำหนดแผนกำลังคนของประเทศ และใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานและการส่งเสริมประชากรของประเทศ พร้อมทั้ง ควรกำหนดนิยามแรงงานผู้สูงอายุในกฎหมาย และกำหนดกฎหมายให้ครอบคลุมสิทธิ สวัสดิการ และหลักประกันทางสังคมที่เหมาะสม , 2) ควรมีการบริหารจัดการฐานข้อมูลโดยการพัฒนาฐานข้อมูลสารสนเทศผู้สูงอายุในทุกระดับทั้งในระดับพื้นที่และจังหวัด, 3) ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มมาตรการจูงใจนอกเหนือจากมาตรการทางภาษี, 4) ส่งเสริมพัฒนาฝีมือและทักษะ โดยการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ในการทำงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ด้วยรูปแบบและวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสม (Re-Skill) และ 5) ส่งเสริมและกระตุ้นการจ้างงานผู้สูงอายุ อาทิ สร้างหลักประกันทางสังคมกำหนดลักษณะงานที่เหมาะสมกับแรงงานสูงอายุ และกำหนดสิทธิ สวัสดิการ ค่าจ้างที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ พร้อมทั้งเพิ่มมาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจผู้ประกอบการจ้างงานผู้สูงอายุ เป็นต้น
