SMART to Know: 7 เคล็ดลับ...วางแผนลดหย่อนภาษีนิติบุคคล

7 เคล็ดลับ...วางแผนลดหย่อนภาษีนิติบุคคล

          ความรู้เรื่องภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะนอกจากจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างถูกต้อง ไม่เสียค่าปรับจากการจ่ายภาษีไม่ครบแล้ว ยังอาจช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้งได้อีกด้วย เพราะมีค่าใช้จ่ายมากมายที่สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่ภาครัฐมักออกนโยบายลดหย่อนภาษี มาช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ช่วยพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า อีกทั้งยังเป็นการเปิดเวทีการแข่งขันด้านธุรกิจ ให้เหล่าคนรุ่นใหม่สนใจในการก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการกันมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้เราก็จะพาผู้ประกอบการทุกท่านไปดูกันว่า ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล สามารถทำได้อย่างไรบ้าง พร้อมแล้วมาดูกันเลย

ทำไมต้องรู้เรื่อง ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล

          การลดหย่อนภาษี คือ สิทธิ์ของผู้ประกอบการ รวมไปถึงประชาชนที่ทางรัฐบาลกำหนดว่าค่าใช้จ่ายประเภทใดที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน และในบางกรณีอาจเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ทางภาครัฐพยายามผลักดันด้วยเช่นกัน

          การลดหย่อนภาษีนิติบุคคลทำได้หลายรูปแบบมาก มีค่าใช้จ่ายจำเป็นมากมายในการทำธุรกิจที่สามารถนำมาลดหย่อน ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเสียภาษี หรืออาจได้เงินภาษีคืนมากกว่าที่คิดไว้ เพื่อนำเงินไปใช้ต่อยอดธุรกิจในส่วนอื่น ๆ ได้ ดังนั้น การลดหย่อนภาษีนิติบุคคล จึงเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ควรศึกษาอย่างละเอียด ตรวจสอบบัญชี ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ว่าสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้หรือไม่ หรือเมื่อรัฐบาลมีนโยบายใหม่ ๆ ออกมา ก็ต้องติดตามตรวจสอบว่าสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้หรือไม่


เช็กเงื่อนไขการเสียภาษีนิติบุคคล

สำหรับธุรกิจ SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว จะมีเงื่อนไขในการเสียภาษี คือ

  • มีทุนจดทะเบียนบริษัทไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยในกำไรสุทธิ 300,000 บาทแรก จะไม่ต้องเสียภาษี
  • กำไรสุทธิตั้งแต่ 300,001 – 3 ล้านบาท มีอัตราภาษี 15% และหากกำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป จะมีอัตราภาษี 20%
  • หากเป็นธุรกิจที่ไม่เข้าข่ายเป็น SMEs ที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีอัตราภาษี 20% ตั้งแต่กำไรบาทแรก

เคล็ดลับลดหย่อนภาษีนิติบุคคล

          สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีพนักงานไม่เกิน 200 คน และมีสินทรัพย์ไม่เกิน 200 ล้านบาท จะมีค่าใช้จ่ายที่นำไปใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ ที่ช่วยพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ประกอบไปด้วย 7 ประเภทค่าใช้จ่าย ดังนี้

1. ค่าจัดตั้งบริษัท ทำบัญชี และการสอบบัญชี

          ผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนบริษัทนิติบุคคลแล้ว มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการในรอบบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท ก็สามารถนำรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท การทำบัญชี ไปจนถึงการสอบบัญชี ในระยะเวลา 5 รอบปีบัญชีติดต่อกันมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว

2. ค่าเสื่อมสภาพของคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์

          ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินธุรกิจ ภาครัฐจึงออกนโยบายให้ผู้ประกอบการสามารถคิดค่าเสื่อมราคาในอัตรา 40% ของมูลค่าอุปกรณ์ โดยจะทยอยหักภายใน 3 รอบบัญชี นับตั้งแต่วันที่ได้ทรัพย์สินมา นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

3. ค่าเสื่อมอาคาร

          ผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการเป็นอาคารหรือโรงงาน สามารถนำค่าเสื่อมของอาคารมาคิดค่าเสื่อมได้ในอัตรา 25% ของต้นทุน โดยส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 5% ต่อปี

4. ค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร

          โรงงานที่มีเครื่องจักรสามารถนำค่าเสื่อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง มาใช้ลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน โดยคิดค่าเสื่อมในอัตรา 40% ของมูลค่า ส่วนที่เหลือสามารถหักได้ในแต่ละรอบบัญชีไม่เกิน 20% ต่อปี

5. ค่าจ้างงานผู้สูงอายุ

          อีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ถึง 2 เท่า แต่ผู้ประกอบการหลายคนยังไม่รู้ คือค่าจ้างผู้สูงอายุนั่นเอง เพราะรัฐบาลมีเป้าหมายสนับสนุน SMEs ในการจ้างงานผู้สูงอายุ เพื่อกระจายรายได้ จึงทำให้มีนโยบายนี้ออกมารองรับ โดยมีเงื่อนไขดังนี้

  • ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • เป็นลูกจ้างบริษัทอยู่ก่อนแล้ว หรือขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน
  • ค่าจ้างไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท
  • มีการจ้างผู้สูงอายุไม่เกิน 10% ของลูกจ้างทั้งหมด
  • ผู้สูงอายุต้องไม่เคยเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทที่จ้าง หรือบริษัทอื่นที่อยู่ในเครือเดียวกัน

 

6. เงินบริจาค

          เงินบริจาคเป็นค่าใช้จ่ายที่นำมาใช้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรณี
     6.1 บริจาคให้กับสถาบันการศึกษารัฐ, เอกชน และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีศักยภาพสูง สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่จะไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายการบริจาค
     6.2 บริจาคให้กับกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ นำมาใช้เป็นลดหย่อนภาษีได้เท่ากับจำนวนเงินที่บริจาค แต่จะต้องไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย
     6.3 เงินบริจาคให้กับกองทุนวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม รวมทั้ง 4 กองทุน สามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ทั้งนี้เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการศึกษา และรายจ่ายที่กำหนดต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย

7. รายจ่ายในการฝึกอบรม

          การฝึกอบรบให้พนักงานในบริษัท สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ ทั้งในกรณีที่ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม และการฝึกอบรบให้ลูกจ้างตนเอง ดังนี้

     7.1 ส่งลูกจ้างไปเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรม

  • เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเรียน การฝึกอบรม ตั้งแต่ค่าลงทะเบียนเรียน ค่าที่พัก อาหาร และค่าเดินทาง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สถานการศึกษาเรียกเก็บกับทางบริษัท 
  • มีใบเสร็จรับเงินของสถานศึกษา 
  • รายงานค่าใช้จ่าย 
  • มีเงื่อนไขให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่องค์กร หลังศึกษาหรือฝึกอบรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว

     7.2 ฝึกอบรมลูกจ้างตนเอง

  • ต้องเป็นหลักสูตรที่จัดเพื่อพัฒนาพนักงานในองค์กร ซึ่งได้รับการรับรองจากกระทรวงแรงงาน และค่าใช้จ่ายต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงแรงงาน
  • กำหนดเงื่อนไขเข้าทำงาน
  • อุปกรณ์ที่จะใช้ในการฝึกอบรมต้องกำหนดขนาดและคุณสมบัติ เพื่อให้ไม่เข้าไปปะปนกับที่ใช้ในบริษัทปกติ
  • ทำทะเบียนลูกจ้างเพื่อเป็นหลักฐาน
  • ต้องเป็นประโยชน์ต่อกิจการ

รู้เรื่องภาษีให้รอบด้าน ช่วยลดหย่อนภาษีได้มากกว่าที่คิด

          การจัดการภาษีนิติบุคคลอย่างถูกต้องและครบถ้วน เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ SMEs เพราะสามารถช่วยลดภาระทางภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนำค่าใช้จ่ายที่ถูกต้องมาหักลดหย่อน หรือการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ หากมีการเตรียมเอกสารทางบัญชีอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การจัดทำรายงานภาษีเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำมากขึ้น

 

          PEAK Tax เป็นฟังก์ชันหนึ่งในโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ที่ช่วยให้การจัดการภาษีของธุรกิจเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยระบบที่ครอบคลุมตั้งแต่การคำนวณและสร้างแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53) ไปจนถึงการตรวจสอบความถูกต้องของแบบภาษีก่อนส่ง เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด นอกจากนี้ PEAK Tax ยังช่วยสรุปและจัดทำรายงานภาษีได้อย่างเป็นระบบ รองรับการนำเข้าข้อมูลจากระบบขายออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada และ TikTok Shop ช่วยลดงานซ้ำซ้อน ประหยัดเวลา และทำให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          พิเศษ!! สำหรับสมาชิกหอการค้าไทยและเครือข่าย รับสิทธิพิเศษ ใช้ฟรีแพ็คเกจ PEAK นาน 6 เดือน (มูลค่า 7,200 บาท) รายละเอียดคลิก https://www.thaichamber.org/view/610/peak- 

 


อ้างอิงเนื้อหาจาก https://www.peakaccount.com/blog/tax/corporate-income-tax/tax-reduction-for-smes
 

ข่าวอื่นๆ