TCC Business Insight : เศรษฐกิจสีเงิน โอกาสในวิกฤต

TCC Business Insight : เศรษฐกิจสีเงิน โอกาสในวิกฤต

เศรษฐกิจสีเงิน โอกาสในวิกฤต

ช่วงปลายปีที่ผ่านมา “วิกฤตเด็กเกิดน้อย” เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคมไทย จากผลสำรวจประชากรไทย โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่าในปี 2565 มีเด็กไทยเกิดใหม่เพียง 502,107 คนเท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 71 ปี อีกทั้งยังเป็นปีที่สอง ที่จำนวนการเกิดน้อยกว่าจำนวนการตาย (595,965 คน) ทำให้มีการคาดการณ์ว่าจำนวนประชากรไทยจะเหลือเพียง 33 ล้านคน ภายในอีก 60 ปี

วิกฤตเด็กเกิดน้อย นั้นไม่ได้ส่งผลเพียงแค่จำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบต่อโครงสร้างทางสังคมของประเทศ ที่ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนจากสังคมผู้สูงอายุ (ageing society – มีสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 7% ของประชากรทั้งหมด)  กลายเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (aged society - มีสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 14% ของประชากรทั้งหมด) ภายในระยะเวลาเพียง 19 ปีเท่านั้น เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่ใช้เวลา 24 ปี และสหรัฐอเมริกาที่ใช้เวลา 72 ปี อีกทั้ง องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ทำการสำรวจอัตราการเกิดและจำนวนประชากรโลก และ คาดการณ์ว่า จำนวนของประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปจะเพิ่มสูงขึ้นจาก 761 ล้านคนในปี พ.ศ. 2564 เป็น 1.6 พันล้านคน ในปี พ.ศ. 2593

รวยก่อนแก่หรือแก่ก่อนรวย

การหดหายของคนหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยแรงงาน (อายุ 20 – 24 ปี) ถือเป็นความท้าทายที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังประสบ โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทย ที่มีประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อคน (GDP per capita) อยู่ที่ประมาณ 259,409 บาท ต่อปี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2537 หรือประมาณ 30 ปีที่แล้ว ที่มี GDP per capita มากกว่าประเทศไทยเกือบ 5 เท่า จึงถือว่าประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่ “แก่ก่อนรวย” สำหรับประเทศไทยที่อุตสาหกรรมหลักๆ ต้องใช้แรงงานมนุษย์ในการผลิตและการให้บริการ เช่นภาคการผลิต,การเกษตร และการท่องเที่ยว การลดลงของจำนวนแรงงานที่อยู่ในวัยทำงาน จะเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมายังเป็นปีแรกที่จำนวนประชากรในวัยแรงงานน้อยกว่าในวัยเกษียณ และ จำนวนประชากรในวัยแรงงานในประเทศไทยยังถูกคาดการณ์ว่าจะลดลงไปอีก 20% ภายในปี พ.ศ. 2598

“โตน้อย-โตช้า” สังคมสูงอายุไทยกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้ให้ความเห็นในปัญหานี้ไว้ว่า “การที่ประเทศไทยขาดแรงงานที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทย “โตน้อย-โตช้า” จากในอดีต 20 กว่าปีก่อนที่เคยเติบโตที่ 5 – 7% และลดลงเป็น 3 - 4% ในยุคปัจจุบัน และมีความเป็นไปได้สูงในอนาคตว่า GDP ของไทยอาจโตไม่ถึง 2% หากยังไม่สามารถเพิ่มคุณภาพหรือผลิตภาพ (productivity) ของคนที่มีอยู่หรือจะมีในอนาคต” นอกจากนี้ ดร.สมชัย ยังมองว่า การที่แรงงานน้อยลงจะบีบให้บริษัทใหญ่จำเป็นจะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำธุรกิจมากขึ้น ส่งผลเกิดการเลิกจ้างกลุ่มแรงงานที่มีทักษะต่ำทำให้ปัญหาความเหลื่อล้ำทวีความรุนแรงมากขึ้น ผลกระทบต่อมาเมื่อผู้คนที่เหลืออยู่มีรายได้น้อยลงจะทำให้รัฐเก็บภาษีได้น้อยลง ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอในการดูแลผู้สูงอายุ, บำรุงรักษาสาธสาธารณูปโภคต่างๆ รวมไปถึงการดูแลให้เด็กเกิดใหม่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

ถึงแม้ในภาพรวมปัญหาการขาดแคลนแรงงานวัยทำงานในยุคสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ดูจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งนั้นปัญหาเด็กเกิดน้อยและการหดหายของแรงงานก็ได้เปิดมุมมองและโอกาศใหม่ๆให้กับผู้สูงอายุทั่วโลก

แก่แต่เก๋า กับการส่งเสริมแรงงานสูงวัย

ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ จริงอยู่ที่ประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงอายุจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ถดถอยลง จากการขาดแคลนแรงงานในการผลิตและการบริโภค แต่แรงงานสูงอายุเหล่านี้หากได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐที่เหมาะสม ก็จะสามารถที่จะทำงานสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ ซึ่ง Ronald Lee อาจารย์ด้านประชากรศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ University of California, Berkeley มองว่า การถดถอยของอัตราการเกิดและจำนวนแรงงานส่งผลกระทบทางตรงกับการเติบโตของ GDP ของประเทศ แต่ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้ต่อหัวของประชากร (GDP per capita) มากนัก เพราะคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานสามารถเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน ให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในอายุที่มากขึ้น เพื่อชดเชยส่วนต่างที่เกิดขึ้นจากแรงงานที่ขาดหายไปในสังคมผู้สูงอายุ

ตัวอย่างของประเทศที่ตระหนักถึงความสำคัญในการออกนโยบายในการช่วยเหลือแรงงานสูงอายุ คือประเทศญี่ปุ่นที่มีการปรับอายุเกษียณจาก 60 ปี เป็น 65 ปี และออกกฎหมายเพิ่มในปี พ.ศ. 2564 ที่บังคับให้ผู้ว่าจ้างจะต้องให้พนักงานสามารถทำงานได้จนถึงอายุ 70 ปี ส่งผลให้ ในปี พ.ศ. 2565 25% ของคนญี่ปุ่นที่อายุมากกว่า 65 ปี ยังสามารถทำงานอยู่ในระบบได้ นอกไปจากนี้รัฐบาลญี่ปุ่นยังให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทในการปรับปรุงสถานประกอบการให้เอื้อต่อแรงงานสูงอายุ เช่น การติดราวบันได และการเพิ่มบริเวณพักผ่อนสำหรับแรงงานสูงอายุ อีกตัวอย่างคือประเทศสิงค์โปรที่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 ได้ออกข้อบังคับให้ทุกบริษัทจะต้องเสนอการจ้างงานใหม่ ให้กับพนักงานที่อยู่ในช่วงอายุเกษียณ 63 ปี ให้สามารถกลับมาทำงานได้จนถึงอายุ 68 ปี และรัฐบาลสิงค์โปรยังมอบเงินช่วยเหลือ ให้กับผู้ว่าจ้างที่มีการจ้างพนักงานที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปและมีเงินเดือนมากกว่า 4,000$ (ประมาณ 138,320 บาท) อีกทั้งประเทศสิงค์โปรยังมีการลงทุนในอพาร์ตเมนต์สำหรับผู้สูงอายุที่มีสถานพยาบาลอยู่ในตัวอาคารเพื่อให้คนสูงอายุไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล เพื่อบรรลุแผนการเพิ่มอายุเกษียณเป็น 70 ปี ภายในทศวรรษนี้

เศรษฐกิจสีเงิน เศรษฐกิจสูงวัย โอกาศใหม่จากคนวัยเก่า

ถึงแม้ว่าการที่ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ จะสร้างผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนไทยในอนาคตอันใกล้ แต่ในอีกมุมหนึ่งจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทยทั้งที่ยังทำงานและเกษียณอายุ ได้เปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจกับกลุ่มเศรษฐกิจสีเงินหรือเศรษฐกิจสูงวัย ซึ่ง Deloitte บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลกได้ทำการสำรวจประชากรกลุ่มเศรษฐกิจสีเงินของไทย และ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ตามความมั่งคั่งสุทธิ (net worth) และ การเท่าทันเทคโนโลยี

แผนภูมิแสดงเศรษฐกิจสูงวัยประเทศไทย ตามมูลค่าตลาดและขนาดประชากรเป้าหมาย จาก https://www2.deloitte.com/th/en/pages/about-deloitte/articles/thailand-silver-economy-th.html

จากแผนภูมิด้านบน จะเห็นได้ว่ากลุ่มคนสูงวัยที่ร่ำรวยและเท่าทันเทคโนโลยี ที่มีจำนวนอยู่ 6.7 แสนคน (ประมาณ 1% ของจำนวนของประชากรไทยทั้งหมด) ในปี พ.ศ. 2566 จะมีมูลค่าตลาดกว่า 1.2 ล้านล้านบาท ในระหว่างที่กลุ่มที่ยากจนและไม่เท่าทันเทคโนโลยี ที่มีจำนวนถึง 4.5 ล้านคน (ประมาณ 6.7% ของจำนวนของประชากรไทยทั้งหมด) ในปีเดียวกัน มีมูลค่าตลาดเพียงแค่ 32.6 พันล้านบาท แต่กระนั้น จากรายงานของ สสช. อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของผู้สูงวัยมีการเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในไตรมาศที่ 4 ของปี พ.ศ. 2565 อัตราการใช้อินเทอร์เน็ตของประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 56.3% เติบโตจากไตรมาศที่ 3 ซึ่งอยู่ที่ 53.6% จึงพอคาดการณ์ได้ว่าตัวเลขของกลุ่มผู้สูงอายุที่เท่าทันเทคโนโลยีจะเติบโตขึ้นในอนาคต ซึ่งทาง Deloitte มองว่าจะมีธุรกิจ 6 กลุ่มที่จะเติบโตจากตลาดกลุ่มผู้สูงวัย ดังนี้

1. สุขภาพ : ธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ ที่เป็นทั้งธุรกิจที่เกิดขึ้นมาใหม่ หรือต่อยอดจากธุรกิจบริการที่มีอยู่ในตลาด

2. อสังหาริมทรัพย์ : ธุรกิจที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ เช่น บ้านพักคนชรา, ชุมชนผู้สูงอายุ รวมไปถึงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่มีการใช้งานเหมาะสมกับผู้สูงอายุ

3. สันทนาการและการพัฒนาตนเอง : ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและการศึกษา เช่น การท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงวัย, คอร์สอบรมงานฝีมือ และ การพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ

4. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ : ธุรกิจเกี่ยวกับแกดเจ็ต และ อุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับผู้สูงวัย เช่น อุปกรณ์ติดตามตัว และ อุปกรณ์ต่างๆสำหรับช่วยเหลือผู้สูงอายุ

5. ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย : ธุรกิจเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย เช่นการจัดทำพินัยกรรม และ หนังสือแสดงเจตนาในการรับบริการหรือปฏิเสธการรับบริการทางการแพทย์ (Living Will)

ถึงแม้การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ของประเทศไทยจะนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจต่างๆ จากการเติบโตของตลาดผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อสูง แต่ก็เป็นเครื่องตอกย้ำถึงความจริงที่ว่าสังคมไทยกำลังเผชิญกับความมท้าทายจากการขาดแรงงานที่มาจากอัตราการเกิดที่น้อยลงต่อเนื่องในทุกๆปี ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในหลายมิติ ดังนั้นภาคธุรกิจต้องตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้และปรับตัวในการทำธุรกิจและการจัดการทรัพยากรบุคคล ให้เอื้อต่อการทำงานสำหรับแรงงานสูงวัย ควบคู่ไปภาครัฐที่จะต้องออกนโยบายที่ช่วยเหลือให้คนหนุ่มสาวไทยมีลูกมากขึ้นทั้งทางตรง เช่น การให้เงินสนับสนุนบุตรคนแรก, การเพิ่มสิทธิวันลาคลอด, การลดค่าครองชีพต่างๆ เช่นสินเชื่อสำหรับที่อยู่อาศัย รวมไปถึง การพิจารณารับผู้อพยพ (migrants) จากประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มชาติพันธ์ ให้สามารถมาทำงานเสียภาษี และใช้ชีวิตในประเทศไทยในฐานะคนไทยได้ในที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนในประเทศควรทำร่วมกันคือการสร้างสังคมไทยให้ “น่าอยู่” เพื่อทำให้คนไทยรุ่นใหม่กล้าที่จะตัดสินใจมีลูก เพื่อที่จะทำให้ระเบิดเวลาที่มีชื่อว่า “วิกฤตเด็กเกิดน้อย” เวลานับถอยหลังถูกเลื่อนออกไป ให้ประเทศไทยได้มีเวลาเตรียมตัวรับมือกับวิกฤตินี้ได้ดีขึ้น

 

เป็นส่วนหนึ่งกับเครือข่ายผู้ประกอบการระดับโลกพร้อมรับสิทธิประโยชน์มากมายสำหรับสมาชิก สมัครได้ที่นี่

ติดตามสาระทางธุรกิจดี ๆ ได้ที่ TCC Business Insight

อ้างอิง

https://www2.deloitte.com/th/en/pages/about-deloitte/articles/thailand-silver-economy-th.html

https://www.oecd-ilibrary.org/sites/1ad1c42a-en/index.html?itemId=/content/component/1ad1c42a-en

https://www.un.org/development/desa/pd/content/world-population-ageing-2019

https://www.thansettakij.com/business/economy/574695

https://www.thecoverage.info/news/content/5518

https://www.aljazeera.com/features/2023/6/6/old-but-gold-can-ageing-propel-a-surprise-economic-boom

https://www.thaipbs.or.th/news/content/333350

ข่าวอื่นๆ