หลังจากที่สภาพัฒน์แถลงสถานการณ์หนี้ภาคเอกชนในปัจจุบัน ที่สูงขึ้นมากหลังจากสถานการณ์โควิด และอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ หรืออาจกลายเป็นหนี้เสียในไม่ช้า เรื่องนี้หอการค้าไทยได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเช่นกัน โดยเมื่องานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศที่เพิ่งจบไป ได้มีข้อเสนอผ่านสมุดปกขาว โดยชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงส่งผลกระทบโดยตรงต่อ SMEs โดยเฉพาะในด้านกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง สวนทางกับต้นทุนทางธุรกิจที่สูง ทั้งจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าพลังงาน และต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งจำเป็นที่รัฐบาลต้องมีมาตรการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
หอการค้าฯ ได้มีการติดตามปัญหาภาระหนี้ต่าง ๆ และมีการหารือกับบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีความกังวลในประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1) ผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องของพ่อค้าคนกลาง หรือผู้รับเหมาช่วง (sub contract) ที่ในช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวลงเช่นนี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่อาจยืดเวลาการจ่ายเงินให้รายกลาง ซึ่งผู้ประกอบการรายกลางก็มีความสามารถในการบริหารสภาพคล่องไม่เท่ากัน และเมื่อถึงจุดที่สภาพคล่องมีปัญหา ก็จะกระทบต่อ Supply Chian ทั้งระบบได้ และ 2) ปัญหาหนี้จากสินเชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ทั้งหนี้เสียและหนี้กำลังจะเสียเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับมุมมองของหอการค้าไทยแล้ว ปัญหาภาระหนี้ถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการเติบโตของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกับสมาชิกที่เป็น SMEs หากไม่เร่งจัดการโดยเร็ว ปัญหานี้จะขยายวงกว้างและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้ จึงมีข้อเสนอดังนี้
1. การจัดการหนี้
• ส่วนของดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ สถาบันการเงินควรมีมาตรการที่ชัดเจนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ชั้นดี ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ โดยเสนอให้แขวนดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ไว้ก่อน ในระหว่างนั้นหากลูกหนี้มีศักยภาพสามารถชำระหนี้ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ควรมีการพิจารณาลดดอกเบี้ยผิดนัดชำระก้อนนั้น โดยอาจพิจารณาลดดอกเบี้ยแบบขั้นบันได
• ควรจัดกลุ่มลูกหนี้ และลำดับการให้ความช่วยเหลือ อาทิ ลูกหนี้ชั้นดี ที่ประสบกับปัญหาเนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด (สถานะบัญชี 21) กรณีนี้ ธปท.จะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง และควรพิจารณาช่วยเหลือก่อน
• มาตรการฟ้า-ส้มของ ธปท. มีข้อสังเกตว่า เป็นมาตรการที่น่าสนใจแต่ยังขาดการรายงานผลการดำเนินมาตรการให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ ดังนั้น หากมีการติดตามและรายงานความสำเร็จของแต่ละหัวข้อ อาทิ มาตรการต่าง ๆ สามารถช่วยลูกหนี้ไปได้แล้วกี่ราย กี่บัญชี คิดเป็นมูลค่าเท่าใด เชื่อว่าข้อมูลที่ได้มานั้นจะช่วยให้มองเห็นภาพรวมว่ามาตรการฟ้า-ส้มข้อใดที่มีประสิทธิภาพในการช่วยแก้ไขปัญหาได้มากที่สุด และต่อยอดแก้ไขปัญหาต่อไป
• การจัดการลูกหนี้เก่า เน้นไปที่ลูกหนี้ที่มีบัญชีมีลักษณะหนี้เรื้อรัง ลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยที่ผ่านมาตลอด เป็นลูกหนี้ชั้นดี แต่เงินที่จ่ายมานั้นแทบจะไม่เข้าเงินต้นเลย ควรมีการกำหนดแผนการชำระหนี้อ้างอิงตามระยะเวลาที่สามารถจ่ายได้ เพื่อให้หนี้จบได้ในระยะเวลาที่กำหนด
• การช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ (ลูกหนี้สถานะบัญชี 21) เจ้าหนี้ควรแนะนำให้ลูกหนี้กลุ่มนี้เข้าโครงการมาตรการฟ้า เพื่อปรับโครงสร้างหนี้โดยให้มีการผ่อนปรน
• กรณีเมื่อมีการสำรองพึงกันรายบัญชีแล้ว ให้ถือว่าเพียงพอ ไม่ต้องสำรองอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก และสถาบันการเงินต้องไม่พิจารณาจำนวนครั้งที่เคยปรับโครงสร้างหนี้มาแล้ว
• การสร้างแรงจูงใจ (กรณีลูกหนี้มีศักยภาพ) สถาบันการเงินควรมีการจัดชั้นลูกหนี้ โดยลูกหนี้ที่มีศักยภาพให้สามารถได้รับการพิจารณาเติมเงิน (ปล่อยสินเชื่อ) ลดดอกเบี้ย
• การเจรจาแก้หนี้ ควรมีการจัดโครงการเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้ในแต่ละพื้นที่
2. การเติมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ ทั้งการเพิ่มงบอุดหนุนให้ บสย. ค้ำประกันความเสี่ยงให้ SMEs เพื่อให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยกู้ให้ SMEs รายย่อยมากขึ้น การเพิ่มแหล่งเงินทุนให้ผู้ประกอบการรายเดิมผ่านกลไกกองทุนหมู่บ้าน การสร้างแต้มต่อให้ SMEs เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (SME-GP) โดยขอให้หน่วยงานราชการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการของ SMEs ให้ได้ 50% ของงบประมาณ เพื่อช่วยขยายโอกาสให้ SMEs สามารถเติบโตและแข่งขันได้มากยิ่งขึ้น
หอการค้าฯ เชื่อว่าวันนี้ปัญหาหนี้ทั้งระบบเป็นโจทย์สำคัญที่จะต้องช่วยกันเร่งหามาตรการและแนวทางแก้ไข เป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลได้เดินหน้าแก้หนี้นอกระบบของประชาชนไปในระยะแรก และหวังว่าจะมีการพิจารณามาตรการแก้หนี้ที่อยู่ในระบบของผู้ประกอบการ ทั้งมิติของการจัดการหนี้ และมิติของการเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ จะมีส่วนช่วยให้ภาคธุรกิจไทยสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเข้มแข็งได้ในอนาคตต่อไป