หอการค้า ฯ จับมือภาคธุรกิจ ชู 10 ประเด็นเศรษฐกิจ เปิดเวทีถกนโยบายหาเสียงพรรคการเมือง ปี 66

หอการค้า ฯ จับมือภาคธุรกิจ ชู 10 ประเด็นเศรษฐกิจ  เปิดเวทีถกนโยบายหาเสียงพรรคการเมือง ปี 66
b2fe914b-6887-4656-a158-65953d9191d7.jpg
903177.jpg
903204.jpg
903351.jpg
903390.jpg
903393.jpg
903784.jpg
903785.jpg

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าฯ กล่าวว่า ปี 2566 ถือเป็นปีที่หอการค้าไทย ครบรอบการก่อตั้ง 90 ปี จึงได้กำหนดแนวทางขับเคลื่อนเครือข่ายภาคธุรกิจไทย ด้วยแนวความคิด Connect – Competitive - Sustainable เพื่อนำภาคธุรกิจไทยก้าวสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืน เหนือสิ่งอื่นใดยังเป็นปีที่ประเทศไทยจะเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป ที่จะเป็นการกำหนดทิศทางการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศในทุกมิติ ภายใต้ 9 วันแรกการดำรงตำแหน่งประธานหอการค้าฯ สมัยที่ 2 จึงได้จัดเวทีให้พรรคการเมืองรับฟังและตอบคำถามภาคธุรกิจ ไฮล์ไลท์ที่สำคัญคือการเชิญตัวแทนภาคธุรกิจและผู้แทนเครือข่ายหอการค้าฯ มาสะท้อนแนวคิดและข้อเสนอเพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจใน 10 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมภาคธุรกิจเกษตร อาหาร และ BCG & ESG , Digital Transformation และการศึกษาไทย, การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ, การค้าระหว่างประเทศ และการพัฒนาแรงงานไทย, การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ, การส่งเสริมภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค, โอกาสของไทยด้านการค้าข้ามแดนและชายแดน, การสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และข้อเสนอจากตัวแทนนักศึกษา ซึ่งระหว่างนั้นพรรคการเมืองทำหน้าที่เป็นผู้ฟังก่อนเปิดโอกาสให้แต่ละพรรคจับฉลากตอบคำถามในประเด็นที่ภาคธุรกิจได้เสนอไว้ ซึ่งผลจากเวทีการเสวนาหอการค้าได้ สรุปประเด็นและข้อเสนอของภาคธุรกิจ เพื่อให้พรรคการเมืองนำไปพิจารณากำหนดเป็นนโยบาย ประกอบด้วย  

  • การสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในสังคม (Connect) ภาคธุรกิจมีความตั้งใจที่อยากเห็นรัฐบาลชุดใหม่ที่มีเสถียรภาพ เดินหน้าสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนของสังคม ลดความขัดแย้ง สานต่อนโยบายต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยเฉพาะกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างใกล้ชิด การสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และการเพิ่มบทบาททางการต่างประเทศกับนานาชาติให้มากขึ้น รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาทของภาครัฐจาก Regulator สู่การเป็น Facilitator เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
  • ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Competitive) ภาคธุรกิจอยากให้รัฐบาลเดินหน้าสานต่อการดำเนินการเรื่อง Ease of Doing Business และ Ease of Investment อย่างเป็นรูปธรรม เพราะถือเป็นประตูด่านแรก ในการสร้างการดึงดูดการลงจากทั้งในและต่างประเทศ โดยนำ Digital Transformation มาใช้เพื่อให้บริการภาครัฐมีความรวดเร็ว สะดวก และมีความโปร่งใส ขณะเดียวกันต้องเร่งผลักดัน FTA หรือข้อตกลงทางการค้าใหม่ ๆ เพื่อแสวงหาโอกาสด้านเศรษฐกิจให้กับประเท ยกระดับภาคการศึกษาเพื่อสร้างบุคลากรและแรงงานทักษะสูง ที่ตอบสนองความต้องการของตลาด การจัดทำโยบายภาคการเกษตรที่ยึดตลาดนำการผลิต โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และการส่งเสริมการแปรรูปรวมถึงการเร่งฟื้นฟู SMEs ทั่วประเทศ ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวก เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างเข้มแข็งต่อไป 
  • ส่งต่อแนวทางความยั่งยืนสู่คนรุ่นใหม่ในอนาคต (Sustainable) วันนี้ประเด็นความยั่งยืนคงไม่ใช่ทางเลือกสำหรับประเทศไทย แต่จะเป็นทางรอดในการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ภาคธุรกิจจึงอยากให้พรรคการเมืองมีแนวทางที่ชัดเจน ที่จะนำประเทศไทยปรับตัวเข้าสู่แนวคิดความยั่งยืนและการรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งแนวทาง BCG, SDGs และ ESG ให้เกิดการรับรู้และปรับใช้ในทุกระดับของสังคม โดยภาคธุรกิจพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการเริ่มต้นและสนับสนุนให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม 


จากข้อสรุปบนเวทีแห่งนี้ ภาคธุรกิจอยากเห็นทุกพรรคการเมือง ได้นำเอาข้อเสนอดังกล่าวไปปรับใช้กับนโยบาย โดยเฉพาะการจัดทำนโยบายที่ไม่เป็การสร้างภาระทางการคลังให้กับประเทศ เน้นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในระยะยาว ซึ่งพรรคการเมืองเองจะต้องตอบคำถามประชาชนให้ชัดเจนว่านโยบายต่าง ๆ จะใช้งบประมาณจากแหล่งใด กระทบต่อฐานะทางการเงินการคลังของประเทศหรือไม่ ความคุ้มค่าและการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ ความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งท้ายที่สุดหลังจากเลือกตั้ง  หอการค้าฯ อยากเห็นการฟอร์มทีมรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เป็นไปด้วยความรวดเร็วและราบรื่น เพื่อที่จะเข้ามาดูแลการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับแก้ไขและฟื้นฟูเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนที่จะต้องเร่งทำทันทีเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว นายสนั่นกล่าว 

ทั้งนี้ ภายหลังจากการแสดงวิสัยทัศน์ของตัวแทนพรรคการที่เข้าร่วม ประธานกรรมการหอการค้าฯ ได้มอบสมุดปกขาวข้อเสนอภาคธรุกิจจากเวทีแลกเปลี่ยนฯ เพื่อเป็นแนวทางแก่พรรคการเมืองในการพิจารณากำหนดนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการของภาคธุรกิจในด้านเศรษฐกิจของประเทศต่อไปด้วย

บทสรุปผู้บริหาร  
มุมมองข้อเสนอของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ 
โดย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 
 
ตามที่ คณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ขับเคลื่อนนโยบายการดำเนินงาน โดย “หอการค้าจะทำหน้าที่เชื่อมโยงการทำงานจากเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชนเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน” หรือ “Connect the Dots”  เพื่อบูรณาการและขับเคลื่อนแนวทางการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแต่ละมิติ รวมทั้ง ผสานความร่วมมือกับเครือข่ายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและยกระดับความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) ให้แก่สมาชิกและผู้ประกอบการทั่วประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ 
 
ทั้งนี้ ในโอกาสที่ปี 2566 นี้ ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป ภาคเอกชนในนามหอการค้าฯ ต้องการที่จะสะท้อนความคิดเห็นของเราในมิติต่าง ๆ ให้กับรัฐบาลที่กำลังจะจัดตั้งขึ้น ได้จัดเวทีระดมความคิดเห็นเรื่อง “มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ” เพื่อสะท้อนมุมมองข้อเสนอจากภาคธุรกิจต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยตัวแทนของทุกภาคส่วนจะได้นำเสนอข้อคิดและแนวทางการพัฒนาประเทศ ใน 10 ประเด็นสำคัญ ให้กับพรรคการเมือง ที่จะเป็นว่าที่รัฐบาลได้รับทราบ เพื่อนำไปพิจารณาดำเนินการต่อตามความเหมาะสมต่อไป โดยมีแนวทาง ข้อเสนอโดยสรุป ดังนี้ 
 
ประเด็นที่ 1  Digital Transformation และการศึกษาไทย เพื่อให้ประเทศไทยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ต้องวัดกันที่ความสามารถในการใช้ Technology เพื่อสร้างการเติบโตให้กับประเทศ รับมือกับ Digital Transformation พัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีในโลกยุคดิจิทัล ขณะเดียวกันต้องเร่งปฏิรูปการศึกษาไทยให้ทันโลก  

โดยมีเรื่องที่จะผลักดัน เพื่อเตรียมความพร้อมของทรัพยากรมนุษย์ที่มีความเก่งและความดี เรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย โดยการปฏิรูปการศึกษา (Education Reform) ด้วยการนำเทคโนโลยี Digital มาใช้ เป็นการเพิ่มโอกาสเข้าถึงความรู้ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา นอกจากนั้น เพื่อให้เร่งการเติบโตของประเทศไทยมุ่งสู่ยุค Digital ควรที่จะ 1) ส่งเสริมการเป็น Technology hub ของประเทศไทย เพื่อให้เป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีซึ่งจะมีโอกาสสูงที่จะดึงเอาเม็ดเงินและทุนระดับโลกเข้าสู่ประเทศไทย รวมถึง 2) การพัฒนา Future Workforce โดยผู้นำแต่ละอุตสาหกรรมต้องเข้ามามีส่วนร่วมในเชิงทักษะ และสนับสนุนให้มีการ Learning by Doing 3) การสร้างความแข็งแกร่ง  ทางการเกษตรเพื่อมุ่งสู่การเป็น Food Security Hub  จะต้องทำ Digital Transformation  ด้านการเกษตร 4) สร้างให้เกิด Digital Transformation ในภาคธุรกิจอย่างกว้างขวางทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) อาทิ การสร้าง Soft Power สินค้าไทยที่สามารถส่งขายได้ทั่วโลกและสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ 5) ปฏิรูปภาครัฐสู่ดิจิทัล โดยต้องมีการเปลี่ยนแปลงภาครัฐ เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพกลับสู่ระบบราชการ  
 
ประเด็นที่ 2 การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ  เพื่อให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ควรต้องมีการ 1) ยกระดับผู้ประกอบการไทยให้มีรายได้ที่สูงขึ้นเพื่อสามารถแข่งขันได้กับประเทศเพื่อนบ้านและสากล พร้อมกับ 2) ส่งเสริม การลงทุนในอุตสาหกรรม High Technology และนวัตกรรมใหม่ที่มีมูลค่าสูง และไม่มีมลภาวะ 3) ส่งเสริมสิทธิประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ประกอบการไทยให้ทัดเทียมกับสากลเพื่อเป็นเครื่องมือ ในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย 4) ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Hub ที่มีความพร้อมด้านสาธารณูปโภคระดับสูงและความสะดวกในการออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจทุกประเภท  

สำหรับประเด็นการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปยังต่างประเทศ เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะตลาดประเทศไทยมีจำกัดการขยายโอกาสทางการค้าของไทยคือการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยมีข้อเสนอเพื่อให้เกิดมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งด้านข้อมูล มาตรการสนับสนุนการการเงิน มาตรการทางภาษีและที่ไม่ใช่ภาษี เช่น สนับสนุนเงินกู้แก่ผู้ประกอบการไทยในอัตราดอกเบี้ยที่มีความทัดเทียมกับต่างประเทศที่ได้สนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศของตน และ สนับสนุนงบประมาณด้านการศึกษาโครงการด้านการส่งเสริมการลงทุน ดังเช่นที่ต่างประเทศสนับสนุนผู้ประกอบการของตน เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น 
 
ประเด็นที่ 3 การค้าระหว่างประเทศ และการพัฒนาแรงงานของไทย จากปัญหาเศรษฐกิจโลกและความท้าทายที่เกิดขึ้นในหลายๆ ภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) เป็นเครื่องมือหนึ่งในการลดการเสียเปรียบทางการค้ากับประเทศต่างๆโดยประเทศไทยควรเร่งรัดการเจรจา FTA ให้มากขึ้นและต้องมีการปลดล็อคปัญหาต่าง ๆ   เพื่อให้ดำเนินงานต่อได้ ประเทศไทยต้องพร้อมและสามารถเปิด FTA ได้กับทุกประเทศ โดยไม่เข้าข้าง   ฝ่ายใด รวมทั้งประเทศไทยต้องปรับตัวเองเพื่อเข้าสู่มาตรฐานใหม่ของการทำ FTA ในอนาคต   รวมถึง เปรียบเทียบ FTA กับประเทศคู่แข่งขันทางการค้าของไทย เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่าง  และจุดเด่นของประเทศไทย นอกจากนั้นยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องดำเนินการเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ อาทิ เช่น การขนส่ง อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ซึ่งควรทำให้เป็นไปตามกลไกตลาด  ไม่ฝืนและสวนทางคู่แข่งทางการค้าของประเทศไทย 

สำหรับเรื่องแรงงานที่ประเทศไทยกำลังพบกับความท้าทายอย่างเร่งด่วนที่เป็นประเด็นสำคัญ ในการขาดแคลนแรงงานและผลิตภาพแรงงานในอนาคต ทางภาคเอกชนมีความเห็นเพื่อรับมือ ดังนี้ การปรับอัตราตอบแทนค่าจ้างหรือค่าจ้างขั้นต่ำ โดยปรับอัตราค่าตอบแทนให้เป็นไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยใช้กลไกการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) และใช้หลักเกณฑ์ การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างตามมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) สำหรับประเด็น การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานไทย  ควรกำหนดทิศทางของประเทศไทยในการเจริญเติบโตของภาคธุรกิจเพื่อผลิตกำลังคนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมทั้ง บูรณาการหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อจัดทำข้อมูลฐานแรงงานของประเทศไทย (Big Data) และสนับสนุนนโยบายกองทุนเพื่อการปรับปรุงเครื่องจักรและองค์ความรู้ (Knowhow) สำหรับผู้ประกอบการ การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวของประเทศไทย ควรมีการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนงานนำเข้าแรงงานต่างด้าวระยะยาว พร้อมทั้ง จัดระเบียบการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวระบบใหม่ผ่านศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงาน (OSS) และลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายการนำเข้าแรงงานต่างด้าวในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการคุ้มครองสิทธิ การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ควรเพิ่มศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานให้ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมทั้งขยายมาตรฐานฝีมือแรงงาน และอัตราค่าจ้าง        ตามมาตรฐานฝีมือให้ครอบคลุมทุกสาขาอาชีพ และสอดรับกับอัตราตอบแทนค่าจ้าง และส่งเสริมนโยบาย“คูปองฝึกทักษะ  Re-Skill & Up-Skill” เพื่อสามารถนำไปรับการ ฝึกทักษะที่ต้องการได้จากผู้ให้บริการฝึกอบรมที่มีคุณภาพ 
 
ประเด็นที่ 4 การส่งเสริมภาคธุรกิจเกษตร อาหาร และ BCG & ESG ภาคการเกษตรของไทยยังมีศักยภาพ และโอกาสในการพัฒนาเพื่อพลิกโฉมประเทศไทยให้เป็นประเทศชั้นนำด้านการเกษตร และเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง โดยสร้างความต่อเนื่องและให้ความสำคัญในการปฏิรูปภาคการเกษตร ของไทย โดยมีข้อเสนอ สนับสนุนเกษตรกรปรับเปลี่ยนการทำเกษตร  ให้เหมาะสมกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อม สอดคล้องความต้องการตลาด ส่งเสริมการทำเกษตรแบบรวมผลิต รวมจำหน่าย(เกษตรแปลงใหญ่หรือสหกรณ์) สร้างความต่อเนื่องการบริหารจัดการน้ำ พร้อมขยายพื้นที่ชลประทานให้เกษตรกรมีน้ำใช้สำหรับการผลิตอย่างเหมาะสม พัฒนาคลัสเตอร์พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตร พัฒนาสหกรณ์การเกษตรให้เข้มแข็ง ส่งเสริม ให้เกิดผู้ให้บริการด้านการจัดการเกษตรสมัยใหม่ (Service Provider) ครบวงจร รวมถึงการสร้างผู้ประกอบการเกษตร (Smart Farmer) ให้มีองค์ความรู้ ใช้เทคโนโลยี และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยส่งเสริมเกษตรกรเข้าถึงข้อมูล Big Data ด้านเกษตร และใช้ประโยชน์จากดิจิทัลแพลตฟอร์ม   

การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมอาหารและเศรษฐกิจชีวภาพ ตามแนวทาง BCG  ซึ่งสามารถพัฒนาได้ตามแนวทางดังนี้ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ โดยจัดตั้งเมืองนวัตกรรมชีวภาพ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมการเกษตร ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ (Area Based) อาทิ มีแผนงานส่งเสริมและมาตรการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NeEC– Bioeconomy) การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยส่งเสริมยกระดับการพัฒนาการประกอบธุรกิจ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พัฒนากระบวนการผลิต และการจัดการของเหลือทิ้ง (Waste to Value) การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ผ่านส่งเสริมการพัฒนาตามแนวทาง ESG ให้มีแผนงานและมาตรการที่ชัดเจนโดยเฉพาะมาตรการในการอนุรักษ์หรือเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยสร้างความร่วมมือภาคธุรกิจเอกชนในการขับเคลื่อนความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และขยายเครือข่ายความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เป็นแกนกลางสำคัญของเศรษฐกิจโดยถ่ายทอดองค์ความรู้ มีมาตรการสนับสนุน และช่วยเหลือเพื่อให้ SMEs พัฒนากระบวนการดำเนินธุรกิจ  
 
ประเด็นที่ 5 การส่งเสริมภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ในบริบทที่โลกที่เปลี่ยนไป ประเทศอื่นเริ่มมีความแข็งแรงในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และมีแม่เหล็กดึงดูดอยู่มากมาย ทุกวันนี้การแข่งขันมาจากรอบทิศ การรักษาความเป็น Top of mind of Tourism เป็นสิ่งที่ยาก แม้ประเทศไทยจะครองแชมป์มาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากวิกฤตโควิด 19 และในอนาคตข้างหน้า ประเทศไทยต้องจัดทำนโยบาย เชิงรุก ที่ชัดเจนและลงรายละเอียด โดยต่อยอด จากความสำเร็จ โดยมีแผนงาน 3 หัวข้อหลัก คือ  

  1. Refresh Branding ให้มี จุดยืนที่แตกต่างและชัดเจนขึ้น สร้างเรื่องราวและประสบการณ์ใหม่ๆ สื่อสารไปถึงทั่วโลก ซึ่งภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็น หาจุดแข็ง และเรื่องราวใหม่ๆ สร้างภาพประเทศไทย มีความโดดเด่นและแตกต่าง ที่ไม่ได้พูดแค่เรื่อง Thainess อย่างเดียว สร้างกลยุทธ์การสื่อสารที่มีเป้าหมายและแนวทางเดียวกันในทุกสื่อ การตั้งทีมคณะทำงานที่เป็นองค์รวม Team Thailand รวมถึง สร้างเป้าหมายและ Action Plan ในทิศทางเดียวกัน พุ่งไปที่เป้าหมายเดียวกัน ใช้งบประมาณอย่างไม่ซ้ำซ้อน ไม่แบ่งแยกกันทำ และทำให้การใช้งบประมาณรัฐเกิดความคุ้มค่าที่สุด 
  2. กลยุทธ์สร้างความสำเร็จ เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวอย่างทวีคูณสู่ความยั่งยืน ระยะสั้น Hub of Art of Asia ไทยเป็นเจ้าแห่งความคิดสร้างสรรค์ (creativity) และฝีมือในสินค้าศิลปะ สร้าง Hub of Art ที่ใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia ในหลายมิติ ระยะกลาง Hub ofWorld-class Events นำงานระดับโลกให้มาจัดที่ประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็น Ultimate Destination ดึงนักท่องเที่ยว ในมิติใหม่เข้ามา ระยะยาว Hub of Headquarters สร้างการลงทุนในระยะยาวเพื่อผลักดันให้ประเทศไทย
     

ดาวน์โหลดสมุดปกขาว ข้อเสนอภาคธุรกิจต่อพรรคการเมือง 10 ประเด็น

 

ข่าวอื่นๆ