นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าฯ กล่าวว่า ปี 2566 ถือเป็นปีที่หอการค้าไทย ครบรอบการก่อตั้ง 90 ปี จึงได้กำหนดแนวทางขับเคลื่อนเครือข่ายภาคธุรกิจไทย ด้วยแนวความคิด Connect – Competitive - Sustainable เพื่อนำภาคธุรกิจไทยก้าวสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืน เหนือสิ่งอื่นใดยังเป็นปีที่ประเทศไทยจะเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป ที่จะเป็นการกำหนดทิศทางการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศในทุกมิติ ภายใต้ 9 วันแรกการดำรงตำแหน่งประธานหอการค้าฯ สมัยที่ 2 จึงได้จัดเวทีให้พรรคการเมืองรับฟังและตอบคำถามภาคธุรกิจ ไฮล์ไลท์ที่สำคัญคือการเชิญตัวแทนภาคธุรกิจและผู้แทนเครือข่ายหอการค้าฯ มาสะท้อนแนวคิดและข้อเสนอเพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจใน 10 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมภาคธุรกิจเกษตร อาหาร และ BCG & ESG , Digital Transformation และการศึกษาไทย, การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ, การค้าระหว่างประเทศ และการพัฒนาแรงงานไทย, การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ, การส่งเสริมภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค, โอกาสของไทยด้านการค้าข้ามแดนและชายแดน, การสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และข้อเสนอจากตัวแทนนักศึกษา ซึ่งระหว่างนั้นพรรคการเมืองทำหน้าที่เป็นผู้ฟังก่อนเปิดโอกาสให้แต่ละพรรคจับฉลากตอบคำถามในประเด็นที่ภาคธุรกิจได้เสนอไว้ ซึ่งผลจากเวทีการเสวนาหอการค้าได้ สรุปประเด็นและข้อเสนอของภาคธุรกิจ เพื่อให้พรรคการเมืองนำไปพิจารณากำหนดเป็นนโยบาย ประกอบด้วย
จากข้อสรุปบนเวทีแห่งนี้ ภาคธุรกิจอยากเห็นทุกพรรคการเมือง ได้นำเอาข้อเสนอดังกล่าวไปปรับใช้กับนโยบาย โดยเฉพาะการจัดทำนโยบายที่ไม่เป็การสร้างภาระทางการคลังให้กับประเทศ เน้นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในระยะยาว ซึ่งพรรคการเมืองเองจะต้องตอบคำถามประชาชนให้ชัดเจนว่านโยบายต่าง ๆ จะใช้งบประมาณจากแหล่งใด กระทบต่อฐานะทางการเงินการคลังของประเทศหรือไม่ ความคุ้มค่าและการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ ความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งท้ายที่สุดหลังจากเลือกตั้ง หอการค้าฯ อยากเห็นการฟอร์มทีมรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เป็นไปด้วยความรวดเร็วและราบรื่น เพื่อที่จะเข้ามาดูแลการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับแก้ไขและฟื้นฟูเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนที่จะต้องเร่งทำทันทีเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว นายสนั่นกล่าว
ทั้งนี้ ภายหลังจากการแสดงวิสัยทัศน์ของตัวแทนพรรคการที่เข้าร่วม ประธานกรรมการหอการค้าฯ ได้มอบสมุดปกขาวข้อเสนอภาคธรุกิจจากเวทีแลกเปลี่ยนฯ เพื่อเป็นแนวทางแก่พรรคการเมืองในการพิจารณากำหนดนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการของภาคธุรกิจในด้านเศรษฐกิจของประเทศต่อไปด้วย
บทสรุปผู้บริหาร
มุมมองข้อเสนอของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ
โดย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ตามที่ คณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ขับเคลื่อนนโยบายการดำเนินงาน โดย “หอการค้าจะทำหน้าที่เชื่อมโยงการทำงานจากเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชนเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน” หรือ “Connect the Dots” เพื่อบูรณาการและขับเคลื่อนแนวทางการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแต่ละมิติ รวมทั้ง ผสานความร่วมมือกับเครือข่ายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและยกระดับความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) ให้แก่สมาชิกและผู้ประกอบการทั่วประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ
ทั้งนี้ ในโอกาสที่ปี 2566 นี้ ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป ภาคเอกชนในนามหอการค้าฯ ต้องการที่จะสะท้อนความคิดเห็นของเราในมิติต่าง ๆ ให้กับรัฐบาลที่กำลังจะจัดตั้งขึ้น ได้จัดเวทีระดมความคิดเห็นเรื่อง “มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ” เพื่อสะท้อนมุมมองข้อเสนอจากภาคธุรกิจต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยตัวแทนของทุกภาคส่วนจะได้นำเสนอข้อคิดและแนวทางการพัฒนาประเทศ ใน 10 ประเด็นสำคัญ ให้กับพรรคการเมือง ที่จะเป็นว่าที่รัฐบาลได้รับทราบ เพื่อนำไปพิจารณาดำเนินการต่อตามความเหมาะสมต่อไป โดยมีแนวทาง ข้อเสนอโดยสรุป ดังนี้
ประเด็นที่ 1 Digital Transformation และการศึกษาไทย เพื่อให้ประเทศไทยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ต้องวัดกันที่ความสามารถในการใช้ Technology เพื่อสร้างการเติบโตให้กับประเทศ รับมือกับ Digital Transformation พัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีในโลกยุคดิจิทัล ขณะเดียวกันต้องเร่งปฏิรูปการศึกษาไทยให้ทันโลก
โดยมีเรื่องที่จะผลักดัน เพื่อเตรียมความพร้อมของทรัพยากรมนุษย์ที่มีความเก่งและความดี เรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย โดยการปฏิรูปการศึกษา (Education Reform) ด้วยการนำเทคโนโลยี Digital มาใช้ เป็นการเพิ่มโอกาสเข้าถึงความรู้ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา นอกจากนั้น เพื่อให้เร่งการเติบโตของประเทศไทยมุ่งสู่ยุค Digital ควรที่จะ 1) ส่งเสริมการเป็น Technology hub ของประเทศไทย เพื่อให้เป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีซึ่งจะมีโอกาสสูงที่จะดึงเอาเม็ดเงินและทุนระดับโลกเข้าสู่ประเทศไทย รวมถึง 2) การพัฒนา Future Workforce โดยผู้นำแต่ละอุตสาหกรรมต้องเข้ามามีส่วนร่วมในเชิงทักษะ และสนับสนุนให้มีการ Learning by Doing 3) การสร้างความแข็งแกร่ง ทางการเกษตรเพื่อมุ่งสู่การเป็น Food Security Hub จะต้องทำ Digital Transformation ด้านการเกษตร 4) สร้างให้เกิด Digital Transformation ในภาคธุรกิจอย่างกว้างขวางทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) อาทิ การสร้าง Soft Power สินค้าไทยที่สามารถส่งขายได้ทั่วโลกและสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ 5) ปฏิรูปภาครัฐสู่ดิจิทัล โดยต้องมีการเปลี่ยนแปลงภาครัฐ เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพกลับสู่ระบบราชการ
ประเด็นที่ 2 การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ควรต้องมีการ 1) ยกระดับผู้ประกอบการไทยให้มีรายได้ที่สูงขึ้นเพื่อสามารถแข่งขันได้กับประเทศเพื่อนบ้านและสากล พร้อมกับ 2) ส่งเสริม การลงทุนในอุตสาหกรรม High Technology และนวัตกรรมใหม่ที่มีมูลค่าสูง และไม่มีมลภาวะ 3) ส่งเสริมสิทธิประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ประกอบการไทยให้ทัดเทียมกับสากลเพื่อเป็นเครื่องมือ ในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย 4) ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Hub ที่มีความพร้อมด้านสาธารณูปโภคระดับสูงและความสะดวกในการออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจทุกประเภท
สำหรับประเด็นการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปยังต่างประเทศ เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะตลาดประเทศไทยมีจำกัดการขยายโอกาสทางการค้าของไทยคือการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยมีข้อเสนอเพื่อให้เกิดมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งด้านข้อมูล มาตรการสนับสนุนการการเงิน มาตรการทางภาษีและที่ไม่ใช่ภาษี เช่น สนับสนุนเงินกู้แก่ผู้ประกอบการไทยในอัตราดอกเบี้ยที่มีความทัดเทียมกับต่างประเทศที่ได้สนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศของตน และ สนับสนุนงบประมาณด้านการศึกษาโครงการด้านการส่งเสริมการลงทุน ดังเช่นที่ต่างประเทศสนับสนุนผู้ประกอบการของตน เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ประเด็นที่ 3 การค้าระหว่างประเทศ และการพัฒนาแรงงานของไทย จากปัญหาเศรษฐกิจโลกและความท้าทายที่เกิดขึ้นในหลายๆ ภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) เป็นเครื่องมือหนึ่งในการลดการเสียเปรียบทางการค้ากับประเทศต่างๆโดยประเทศไทยควรเร่งรัดการเจรจา FTA ให้มากขึ้นและต้องมีการปลดล็อคปัญหาต่าง ๆ เพื่อให้ดำเนินงานต่อได้ ประเทศไทยต้องพร้อมและสามารถเปิด FTA ได้กับทุกประเทศ โดยไม่เข้าข้าง ฝ่ายใด รวมทั้งประเทศไทยต้องปรับตัวเองเพื่อเข้าสู่มาตรฐานใหม่ของการทำ FTA ในอนาคต รวมถึง เปรียบเทียบ FTA กับประเทศคู่แข่งขันทางการค้าของไทย เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่าง และจุดเด่นของประเทศไทย นอกจากนั้นยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องดำเนินการเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ อาทิ เช่น การขนส่ง อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ซึ่งควรทำให้เป็นไปตามกลไกตลาด ไม่ฝืนและสวนทางคู่แข่งทางการค้าของประเทศไทย
สำหรับเรื่องแรงงานที่ประเทศไทยกำลังพบกับความท้าทายอย่างเร่งด่วนที่เป็นประเด็นสำคัญ ในการขาดแคลนแรงงานและผลิตภาพแรงงานในอนาคต ทางภาคเอกชนมีความเห็นเพื่อรับมือ ดังนี้ การปรับอัตราตอบแทนค่าจ้างหรือค่าจ้างขั้นต่ำ โดยปรับอัตราค่าตอบแทนให้เป็นไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยใช้กลไกการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) และใช้หลักเกณฑ์ การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างตามมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) สำหรับประเด็น การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานไทย ควรกำหนดทิศทางของประเทศไทยในการเจริญเติบโตของภาคธุรกิจเพื่อผลิตกำลังคนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมทั้ง บูรณาการหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อจัดทำข้อมูลฐานแรงงานของประเทศไทย (Big Data) และสนับสนุนนโยบายกองทุนเพื่อการปรับปรุงเครื่องจักรและองค์ความรู้ (Knowhow) สำหรับผู้ประกอบการ การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวของประเทศไทย ควรมีการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนงานนำเข้าแรงงานต่างด้าวระยะยาว พร้อมทั้ง จัดระเบียบการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวระบบใหม่ผ่านศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงาน (OSS) และลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายการนำเข้าแรงงานต่างด้าวในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการคุ้มครองสิทธิ การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ควรเพิ่มศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานให้ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมทั้งขยายมาตรฐานฝีมือแรงงาน และอัตราค่าจ้าง ตามมาตรฐานฝีมือให้ครอบคลุมทุกสาขาอาชีพ และสอดรับกับอัตราตอบแทนค่าจ้าง และส่งเสริมนโยบาย“คูปองฝึกทักษะ Re-Skill & Up-Skill” เพื่อสามารถนำไปรับการ ฝึกทักษะที่ต้องการได้จากผู้ให้บริการฝึกอบรมที่มีคุณภาพ
ประเด็นที่ 4 การส่งเสริมภาคธุรกิจเกษตร อาหาร และ BCG & ESG ภาคการเกษตรของไทยยังมีศักยภาพ และโอกาสในการพัฒนาเพื่อพลิกโฉมประเทศไทยให้เป็นประเทศชั้นนำด้านการเกษตร และเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง โดยสร้างความต่อเนื่องและให้ความสำคัญในการปฏิรูปภาคการเกษตร ของไทย โดยมีข้อเสนอ สนับสนุนเกษตรกรปรับเปลี่ยนการทำเกษตร ให้เหมาะสมกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อม สอดคล้องความต้องการตลาด ส่งเสริมการทำเกษตรแบบรวมผลิต รวมจำหน่าย(เกษตรแปลงใหญ่หรือสหกรณ์) สร้างความต่อเนื่องการบริหารจัดการน้ำ พร้อมขยายพื้นที่ชลประทานให้เกษตรกรมีน้ำใช้สำหรับการผลิตอย่างเหมาะสม พัฒนาคลัสเตอร์พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตร พัฒนาสหกรณ์การเกษตรให้เข้มแข็ง ส่งเสริม ให้เกิดผู้ให้บริการด้านการจัดการเกษตรสมัยใหม่ (Service Provider) ครบวงจร รวมถึงการสร้างผู้ประกอบการเกษตร (Smart Farmer) ให้มีองค์ความรู้ ใช้เทคโนโลยี และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยส่งเสริมเกษตรกรเข้าถึงข้อมูล Big Data ด้านเกษตร และใช้ประโยชน์จากดิจิทัลแพลตฟอร์ม
การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมอาหารและเศรษฐกิจชีวภาพ ตามแนวทาง BCG ซึ่งสามารถพัฒนาได้ตามแนวทางดังนี้ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ โดยจัดตั้งเมืองนวัตกรรมชีวภาพ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมการเกษตร ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ (Area Based) อาทิ มีแผนงานส่งเสริมและมาตรการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NeEC– Bioeconomy) การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยส่งเสริมยกระดับการพัฒนาการประกอบธุรกิจ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พัฒนากระบวนการผลิต และการจัดการของเหลือทิ้ง (Waste to Value) การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ผ่านส่งเสริมการพัฒนาตามแนวทาง ESG ให้มีแผนงานและมาตรการที่ชัดเจนโดยเฉพาะมาตรการในการอนุรักษ์หรือเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยสร้างความร่วมมือภาคธุรกิจเอกชนในการขับเคลื่อนความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และขยายเครือข่ายความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เป็นแกนกลางสำคัญของเศรษฐกิจโดยถ่ายทอดองค์ความรู้ มีมาตรการสนับสนุน และช่วยเหลือเพื่อให้ SMEs พัฒนากระบวนการดำเนินธุรกิจ
ประเด็นที่ 5 การส่งเสริมภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ในบริบทที่โลกที่เปลี่ยนไป ประเทศอื่นเริ่มมีความแข็งแรงในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และมีแม่เหล็กดึงดูดอยู่มากมาย ทุกวันนี้การแข่งขันมาจากรอบทิศ การรักษาความเป็น Top of mind of Tourism เป็นสิ่งที่ยาก แม้ประเทศไทยจะครองแชมป์มาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากวิกฤตโควิด 19 และในอนาคตข้างหน้า ประเทศไทยต้องจัดทำนโยบาย เชิงรุก ที่ชัดเจนและลงรายละเอียด โดยต่อยอด จากความสำเร็จ โดยมีแผนงาน 3 หัวข้อหลัก คือ
ดาวน์โหลดสมุดปกขาว ข้อเสนอภาคธุรกิจต่อพรรคการเมือง 10 ประเด็น