ย่อ / ขยาย

กิจกรรมให้ความรู้ด้านการเงิน (Financial Class) ครั้งที่ 3 ภายใต้โครงการ Big Brother (Season 8)

      กิจกรรมให้ความรู้ด้านการเงิน (Financial Class) ครั้งที่ 3 ภายใต้โครงการ Big Brother (Season 8)ในวันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 – 16.30 น. ณ อาคาร 24 ชั้น 18 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีบริษัทน้องเข้าร่วมจำนวน 66 คน โดยมีพี่เลี้ยงสถาบันการเงินมาบรรยายและร่วมออกบูท ประกอบด้วย SME D Bank , K Bank ,Exim Bank และบมจ.เมืองไทยประกันภัย ซึ่งประเด็นที่ถ่ายทอดให้กับบริษัทน้องในวันนี้ ประกอบด้วย

      มาตรการภาครัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจรุ่งให้ SMEs โดย คุณพรชัย จิรโสภณ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวถึงมาตรการ “ต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย” เป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายช่วยผู้ประกอบการ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาการดำเนินธุรกิจให้เดินต่อไปได้ ภายใต้มาตรการนี้ ประกอบด้วยโครงการ ดังนี้

  • โครงการสินเชื่อ  Ignite Thailand  สนับสนุนเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ได้แก่ ศูนย์กลางการท่องเที่ยว, ศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ, และศูนย์กลางอาหาร โดยธนาคารออมสินจัดสรรวงเงินสินเชื่อรวม 5,000 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 2.5% 
  • โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 11 โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กำหนดโครงการย่อยภายใต้โครงการ PGS ระยะที่ 11 ที่เน้นให้ความสำคัญและความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่รัฐบาลสนับสนุน และผู้ประกอบการ SMEs รายใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินเป็นลำดับแรก
  • มาตรการลดหย่อนภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง เที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด เริ่มตั้งแต่ 1 พ.ค. 67 - 30 พ.ย. 67 สามารถนำค่าใช้จ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15,000 บาท นำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นการเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด โดยค่าใช้จ่ายที่เข้าร่วมมาตรการ ลดหย่อนภาษี 2567 ดังนี้
  • ค่าบริการที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบ ธุรกิจนำเที่ยว
  • ค่าที่พักในโรงแรม
  • ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทย
  • ค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม

      PDPA และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ โดย  คุณสิงหพล พลสิงห์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารกลุ่มงานกำกับกฎเกณฑ์และกฎหมาย บมจ. เมืองไทยประกันภัย ปัจจุบันเราต้องตระหนักถึงความสำคัญของ PDPA” หรือ “พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ย่อมาจาก Personal Data Protection Act เขียนขึ้นเพื่อให้บริษัทเอกชนและหน่วยงานรัฐที่ถือครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งในกฎหมายมีฐานะเป็น Data Controller  ต้องปกป้องข้อมูลไม่ให้ถูกละเมิด ที่สำคัญต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล ก่อนการเก็บ รวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย ดังนั้น สิ่งที่บริษัท ต้องปรับตัวแน่ๆ คือ ต้องเพิ่มนโยบายดูแลข้อมูลลูกค้า, ต้องมีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในบริษัท (DPO), แจ้งให้ลูกค้าทราบเรื่องการนำข้อมูลไปใช้ และขอความยินยอม ทำได้ทั้งรูปแบบเอกสาร, แจ้งเตือนออนไลน์, ระบบคุกกี้ ฯลฯ ตรงการขอความยินยอมนี้ บริษัทควรจะทำให้อ่านง่ายด้วย ไม่ใช่ตัวเล็กอ่านยาก และต้องไม่บังคับให้เรากดยินยอม ลูกค้าต้องมีอิสระที่จะยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ได้ ส่วนนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก
 
      ข้อมูลที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ PDPA กว้างขวางมาก หลักๆ คือ เป็นข้อมูลที่ระบุตัวเราได้ ตั้งแต่ชื่อ นามสกุล เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ ข้อมูลทางกายภาพ รูปร่างส่วนสูง ไปจนถึงข้อมูลตัวตนของเราบนออนไลน์ อย่าง Username/password,  Cookies IP address, GPS Location แม้แต่ข้อมูลเซนซิทีฟ อย่าง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดทางการเมือง ความเชื่อ ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ก็ได้รับการปกป้องด้วย ในฐานะเจ้าของข้อมูล หรือ Data Subject ก็จะมีสิทธิ์มีเสียงในข้อมูลของเรามากขึ้น ภายใต้กฎ PDPA เรามีสิทธิ์รู้ว่าข้อมูลที่ถูกเก็บไป มีอะไรบ้าง แชร์ให้ใคร เอาไปทำอะไร, เราขอสำเนาข้อมูลของตัวเองได้, เราขอโอนข้อมูลตัวเองให้บริษัทอื่นได้ นอกจากนี้ เรายังขอหยุดการใช้ข้อมูล และขอลบเมื่อไรก็ได้ 

      สำหรับบริษัท นิติบุคคลที่ทำผิดกฎหมาย PDPA จะต้องรับโทษตั้งแต่โทษทางแพ่ง ทางปกครอง ทางอาญา ขึ้นอยู่กับระดับความเสียหาย ปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท – 5 ล้านบาท และถ้าเกิดความเสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกิน 6 เดือน

      X-ray การเงินธุรกิจและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลทางการบัญชีในการบริหารธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โดย  คุณปิยะวรรณ ชูกรและคุณณัฐยา แผ่นเงิน ผู้เชี่ยวชาญงานพัฒนาและการให้คำปรึกษาด้านเครดิตอาวุโส บรรยายพิเศษเรื่องประโยชน์ข้อมูลทางการบัญชีนั้นในทางธุรกิจถือว่ามีความสําคัญและมีความจําเป็นมากเพื่อเป็นการเสนอต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในรูปแบบของงบการเงินต่างๆ ซึ่งจะเป็นการวัดผลทางด้านการดําเนินงาน กิจการ ซึ่งนักบัญชีจะต้องรวบรวมข้อมูลและทําการจดบันทึกรายการตามหมวดหมู่ต่างๆ ทําการสรุปและ ตีความหมาย เพราะฉะนั้นแล้วการดําเนินการของกิจการนั้น จะทําการจดบันทึกและรวบรวมเป็นงบการเงิน เพื่อให้ทราบผลประกอบการ รวมไปถึงทรัพย์สินที่มีอยู่ หนี้สินต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยใช้งบการเงินเป็น เครื่องมือในการรายงานให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ 

ข้อมูลทางด้านการบัญชีโดยเฉพาะผู้บริหารของกิจการจึงมีการแบ่งแยก ดังนี้

  • ผู้บริหาร ต้องการข้อมูลทางด้านการบัญชีเพื่อประเมินวิเคราะห์การจัดการการลงทุน รวมไปถึงการควบคุมสินทรัพย์หรือการส่งเสริมในด้านแรงงานให้มีประสิทธิภาพและเสียหายน้อยที่สุด
  • เจ้าหนี้ คือสถาบันการเงินต่างๆไม่ว่าจะเป็นธนาคาร กิจการให้สินเชื่อรวมไปถึงไฟแนนซ์ต่างๆสําหรับข้อมูลทางด้านการบัญชีมีส่วนสําคัญในด้านการกําหนดวงเงินกู้และจ่ายเงินกู้เพราะเจ้าหนี้ต้องการทราบฐานะทางการเงินของกิจการว่าสามารถที่จะชําระหนี้ได้มากน้อยเพียงใด หากปล่อยกู้ไปแล้วจะทําให้มีหนี้ศูนย์หรือไม่ ดังนั้นข้อมูลทางการบัญชีจึงจําเป็นที่จะต้องรับรู้เพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับกิจการ
  • พนักงานหรือลูกจ้าง ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างที่อยู่ในกิจการ พนักงาน รวมไปถึงสหภาพแรงงาน เพื่อสามารถที่จะรับทราบข้อมูลนําไปประกอบการพิจารณาการจ่ายโบนัส สวัสดิการต่างๆ ที่มีความจําเป็นต่อพนักงาน ว่าไปในทางที่เหมาะสม

      ปักหมุดตลาดส่งออกอย่างมืออาชีพ โดย  คุณศศิธร มาเมือง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กรมธุรกิจส่งออก  บรรยายพิเศษเรื่อง การขายสินค้าหรือบริการในประเทศไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นการสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ หรือเพื่อตอบสนองต่อความต้องการในตลาดนั้นๆ โดยการส่งออกนั้นจะต้องผ่านหน่วยงานกรมศุลกากร และอยู่ในข้อกำหนดของการนำเข้าและส่งออกของประเทศนั้นๆ ด้วย สำหรับ

ผู้ประกอบการที่สนใจส่งออก ต้องวางแผนในการทำธุรกิจส่งออก ดังนี้

  • หาเป้าหมายหลัก ทำธุรกิจส่งออกต้องหาเป้าหมายหลักให้ได้เสียก่อน การหาเป้าหมายหลักนั้นเริ่มต้นจากการดูว่าสินค้าของตัวเองนั้นเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายใด สังเกตได้จากพฤติกรรมการซื้อของคนในประเทศนั้นๆ ว่ามีแนวโน้มอย่างไรบ้าง แล้วนำข้อมูลที่ได้นั้นมาปรับปรุงและพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากที่สุด 
  • หาจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ สำหรับธุรกิจส่งออกนั้น การหาจุดเด่นของสินค้ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจุดเด่นจะสร้างความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ให้กับสินค้า ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าและเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้นได้
  • รู้จักตลาดและสำรวจคู่แข่ง การสำรวจคู่แข่งในธุรกิจส่งออกนั้น จะช่วยให้ทราบถึงลักษณะสินค้าและบริการที่คู่แข่งนำเสนออยู่ในตลาด รวมไปถึงราคา จุดเด่น และกลยุทธ์การตลาดที่ใช้ เมื่อเข้าใจคู่แข่งอย่างละเอียดแล้วก็จะสามารถพัฒนาสินค้าและบริการของตัวเองให้มีความแตกต่างและเพิ่มคุณค่าให้มากขึ้นได้
  • เจรจาเพื่อต่อรองราคาเป็น ในธุรกิจส่งออกนั้น การเจรจาต่อรองราคาก็มีความสำคัญไม่น้อย เพราะเป้าหมายของการเจรจาต่อรอง คือ เพื่อค้นหาวิธีการที่สอดคล้องกับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ ถ้าผู้ประกอบการรู้จักการต่อรองราคา มีความยืดหยุ่นในราคาสินค้าและจำนวนการสั่งซื้อ พร้อมทั้งสรรหาและพัฒนาระบบขนส่งในพื้นที่ ก็จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มความรวดเร็ว และสร้างความไว้วางใจได้
  • รู้จักบริหารเงิน เงินเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจที่ต้องจัดการบริหารให้ดี เพราะมีผลต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจให้ยั่งยืน การบริหารเงินในธุรกิจส่งออกนั้นสามารถเริ่มต้นได้จากการวางแผนการเงิน เช่น กำหนดเป้าหมายการเงิน คำนวณต้นทุน และประเมินความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงศึกษาวิธีที่จะทำให้ต้นทุนลดต่ำลง เช่น นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ นโยบายเรื่องภาษี เป็นต้น นอกจากนั้นควรมีตัวช่วยในการบริหารจัดการเงินที่ดี และเพิ่มความคล่องตัวในธุรกิจได้