SMART to Know

เปิดมุมมองการทำธุรกิจกับจีน

 

   ทราบกันดีว่า ประเทศจีนมีประชากรจำนวนมาก ซึ่งหมายถึงตลาดขนาดใหญ่ หากใครสามารถปักหลักหรือขยายตลาดเข้าไปในจีนได้ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม การเข้าไปทำตลาดกับจีนก็ไม่ใช่ง่ายสะทีเดียว หากแต่ต้องเข้าใจกลไกหรือวิธีการต่าง ๆ มากพอสมควร ต้องรู้ว่าสินค้าใดมีอนาคตหรือมีความต้องการ ที่สำคัญคือปัจจัยในเรื่องความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในการทำธุรกิจกับจีน

รู้เขา รู้เรา
    คุณวิบูลย์  สุภัครพงษ์กุล กรรมการหอการค้าไทย และรองประธานคณะกรรมการอาเซียนและเอเชียตะวันออก ให้มุมมองว่า สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจกับจีนคือ “ต้องรู้เขา รู้เรา” ต้องเข้าใจพื้นฐานต่าง ๆ ของจีนก่อน เพื่อมองหาโอกาสที่เหมาะสมกับธุรกิจ โดยข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ เช่น

•    จำนวนประชากร จีนมีประชากรกว่า 1.42 พันล้านคน คิดเป็น 17.75% ของประชากรโลก มากที่สุดรองจากอินเดีย และหากเทียบกับประชากรไทยแล้ว เรามีสัดส่วนประชากรเพียง 5% ของจีนเท่านั้น หมายความว่า จีนเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ

•    จีนส่งออกมากกว่านำเข้า โดยประเทศคู่ค้าหลักโดยรวม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน ส่วนไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 14 ของจีน

•    ไทยขาดดุลการค้ากับจีน โดย 9 เดือนแรกของปีนี้ ไทยมีมูลค่าการค้ากับจีน 8.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.38% เป็นการส่งออก 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้า 5.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แปลว่า เราขาดดุลการค้าจีน 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะนำเข้ามากกว่า (ขาดดุล) แต่ก็เป็นการนำเข้ามาเป็นสินค้าต้นทุน พวกเครื่องจักร หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่นำมาผลิต แล้วส่งออกต่อ ตัวเลขการขาดดุลจึงไม่ได้น่ากลัว

•    สินค้าส่งออก Champion ของไทย คือ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง โดยเฉพาะทุเรียน ที่มีสัดส่วนถึง 77% ของการส่งออกผลไม้ทั้งหมด ซึ่งในปี 2566 มีมูลค่าส่งออกประมาณ 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.8 แสนล้านบาท แต่ก็เริ่มมีคู่แข่งจากเวียดนามและมาเลเซีย

•    สถานการณ์การค้ากับจีนในปัจจุบัน จีนมาลงทุนในอุตสาหกรรม EV, Solar cell และ Robotic มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน ไทยได้รับอานิสงส์ในเรื่องการท่องเที่ยว รวมไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรองรับนักท่องเที่ยวชาวจีน


แนวทางการส่งเสริมการค้ากับจีน

•    หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมมือกับ หอการค้าไทย-จีน และสมาคมวิสาหกิจจีนประจำประเทศไทย จัดตั้ง “กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน อย่างยั่งยืน” (Coordination Mechanism for Sustainable Thai-Chinese Business Promotion) โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อน ประสานงาน และส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-จีน พร้อมกับการมุ่งศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาทางการค้าร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อลดอุปสรรคด้านการค้าและการลงทุน ส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน

•    แผนการดำเนินงาน 4 ข้อหลัก ได้แก่
     -    ด้านการค้า, การลงทุน, Logistics, จัดงานแสดงสินค้า
     -    ด้านเทคโนโลยี, IT, การศึกษา
     -    ด้านการปรึกษา, กฎหมาย, กฎระเบียบการค้า
     -    ด้าน CSR, ประชาสัมพันธ์

•    ขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกับ องค์กรส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (China Council for the Promotion of International Trade: CCPIT) ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐกึ่งสภาหอการค้าของจีน โดยผู้บริหารสูงสุดขององค์กรมีฐานะเทียบเท่ากระทรวงหนึ่งของจีน มีบทบาทในการสร้างความสัมพันธ์เชิงลึกด้านการค้าระหว่างประเทศของจีนกับประเทศต่าง ๆ และมีการจัดกิจกรรมร่วมกับไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถช่วยแก้ไขปัญหาทางการค้าที่ยังเป็นอุปสรรคได้

•    CCPIT มีสาขาย่อยในมณฑล เขตปกครองตนเอง และเมืองสำคัญรวม 50 แห่ง โดยมีสมาชิกเป็นบริษัทเอกชนรายใหญ่ กลาง และเล็กทั่วประเทศจีน จำนวน 70,000 ราย หอการค้าทั่วประเทศจีน 600 แห่ง รวมทั้งสภาอุตสาหกรรมในกลุ่มสำคัญระดับประเทศ 20 แห่ง จึงถือเป็นองค์กรที่มีความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนเป็นอย่างมาก


แนวโน้มการค้ากับจีน ในปี 2568

•    ความผันผวน และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการค้า โดยต้องจับตามองผลกระทบระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด

•    นักธุรกิจไทย ต้องพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส จากการที่จีนเข้ามาลงทุนในไทยเพื่อเป็นฐานการผลิตส่งออกมากขึ้น พร้อมกับปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โลก อย่ามองว่าเป็นเรื่องไกลตัว เพราะทุกอย่างส่งผลกระทบถึงกันหมด จึงต้องปรับตัวให้ไว หรืออาจใช้วิธีร่วม Joint Business กับจีน ซึ่งจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าการเข้าไปลงทุนเองในจีนเพียงลำพัง

•    Sector สินค้าหรืออุตสาหกรรมที่เป็นโอกาสของไทย ควรพิจารณาสินค้าที่ไทยเป็นฐานของวัตถุดิบ เช่น ผลิตผลทางการเกษตร คำนึงถึงความได้เปรียบด้านฝีมือแรงงาน เช่น การแกะสลัก รวมไปถึงความเป็นเอกลักษณ์ต่าง ๆ ของไทย เช่น ช้างไทย ผ้าไหมไทย สปา/นวดแผนไทย สิ่งเหล่านี้จะเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

•    การทำตลาดในจีน ควรพิจารณาเจาะตลาดเป็นเขตหรือมณฑล ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงทั้งประเทศ เพราะเพียงเท่านี้ก็เป็นตลาดที่ใหญ่มากแล้ว นอกจากนั้น ควรเลือกสินค้าให้เหมาะกับเขต/มณฑลต่าง ๆ ดูว่าคนในท้องที่นั้นชอบอะไร เช่น คนจีนภาคกลางนิยมสินค้าแฟชั่น และมุ่งเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ โดยศึกษาพฤติกรรมการบริโภคแล้วปรับวิธีการให้ตรงกับพฤติกรรมนั้น เช่น ชอบดูประวัติของสินค้า (Story telling จะเป็นตัวดึงดูดที่ดี) ชอบความสนุกบนมือถือ สนใจเรื่อง Soft Power เป็นต้น


บทสรุป

สถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การรู้เท่าทันและการปรับตัวจึงมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในด้านการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งมีปัจจัยแวดล้อมมากมายที่ส่งผลกระทบ การค้ากับจีนก็เช่นกัน เราจึงต้องเข้าใจบริบทต่าง ๆ ตลอดเวลา ซึ่งหากเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ ย่อมหมายถึง “โอกาส” ในการเติบโตทางธุรกิจแน่นอน