SMART to Know
บริหารธุรกิจครอบครัวอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จ
“ธุรกิจครอบครัว” ฟังแล้วอาจดูเหมือนว่าไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้สำคัญมากเท่าไรนัก แท้ที่จริงแล้ว ทั่วโลกนั้นมีธุรกิจครอบครัวมากถึงประมาณ 65% ของจำนวนธุรกิจทั้งหมด สร้างงานได้ประมาณ 60% และมีสัดส่วนในการสร้าง GDP ของโลกได้ถึง 70% นอกจากนั้น เรายังเห็นความสำคัญของธุรกิจครอบครัวได้อย่างชัดเจนมากขึ้นจากหลาย ๆ ประเทศ เช่น ประเทศมอลต้า ซึ่งมีธุรกิจครอบครัวมากถึง 98% และยังมีพระราชบัญญัติธุรกิจครอบครัว (Family Business Act) เพื่อช่วยลดอุปสรรคในการสืบทอดธุรกิจอีกด้วย หรืออย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ รัฐบาลของเขาได้ตั้งหน่วยงานสนับสนุนธุรกิจครอบครัว เพื่อทำหน้าที่ดึงดูดธุรกิจครอบครัวทั่วโลก ให้เข้ามาตั้งบริษัทและพัฒนาธุรกิจครอบครัวภายในประเทศ โดยมีเป้าหมาย 2 เรื่อง ได้แก่ การเปลี่ยนธุรกิจครอบครัวภายในประเทศ 200 บริษัท ให้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ภายในปี 2030
หันกลับมาที่ประเทศไทย จากการวิจัยของ FAMZ พบว่า ธุรกิจครอบครัวไทยนั้นมีจำนวนถึง 80% ของจำนวนธุรกิจทั้งหมด และธุรกิจครอบครัวเหล่านี้ก็มีส่วนในการสร้าง GDP ประมาณ 304 พันล้านดอลลลาร์สหรัฐฯ หรือราว ๆ 60% ของ GDP ประเทศไทย
รองศาสตราจารย์ ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล รองอธิการบดีอาวุโส สายงานธุรกิจองค์กร มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “ธุรกิจครอบครัว ถ้าเราจริงจังกับมัน มันจะมีความยิ่งใหญ่อยู่ในตัว เหมือนบางธุรกิจที่อยู่มานานกว่า 1,300 ปี”
“ทำอย่างไร ธุรกิจครอบครัวของไทย จึงจะอยู่ได้ยาวนานแบบนี้บ้าง?”
Family Business Drivers
จากการศึกษาธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ พบว่า แนวทางในการขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัวนั้น ส่วนใหญ่จะเห็นองค์ประกอบเหล่านี้อยู่ในกระบวนการการเติบโตทั้งสิ้น ได้แก่
• ระบบกงสีที่เป็นมาตรฐาน มีความเป็นมืออาชีพ สามารถควบคุมความเสี่ยงได้ แปลว่าต้องมีการวางโครงสร้าง หรือวางระบบการบริหารที่ชัดเจน เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
• มองเห็นคุณค่าของธุรกิจ มีการสืบทอด ส่งต่อความรู้ ประสบการณ์ และชื่อเสียงจากรุ่นสู่รุ่น
• มุมมองระยะยาว แน่นอนว่าวงจรของธุรกิจมีช่วงขึ้นช่วงลง การมองไปข้างหน้าในระยะยาวจะเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจรู้จังหวะในการปรับตัวและเดินต่อ
• แรงจูงใจความเป็นเจ้าของ หลายธุรกิจไปต่อไม่ได้ในรุ่นหลัง ๆ เพราะทายาทไม่ได้รักที่จะทำต่อ แต่ธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จมักจะมีการปลูกฝังความผูกพันกับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากไม่รักษาไว้ มันจะหายไป แล้วธุรกิจจะไม่ยั่งยืน
• ค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้เปรียบเสมือน DNA ของธุรกิจครอบครัว ที่สะท้อนตัวตนออกมาได้อย่างชัดเจน ยิ่งมีค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ธุรกิจครอบครัวก็ยิ่งมีความเข้มแข็งมากเท่านั้น
“นิ่มซี่เส็ง” แบบอย่างของความอุตสาหะ
ปฐมบทก่อนที่จะเป็น “นิ่มซี่เส็ง” เริ่มที่ปี 2511 ครอบครัวคุณอุทัต สุวิทย์ศักดานนท์ ซึ่งขายผลไม้ในตลาดวโรรส เชียงใหม่ ประสบปัญหาจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่ตลาดวโรรส บ้านและทรัพย์สินต่าง ๆ หายไปในพริบตา เหลือไว้เพียงสามล้อถีบเก่า ๆ คันเดียว คุณอุทัตในฐานะลูกชายคนโตจึงต้องลาออกจากโรงเรียนมาถีบสามล้อรับขนทุกอย่างที่มีคนจ้างเพื่อหาเลี้ยงชีพ ได้รายได้วันละ 8 บาท โดยเก็บออมไว้ 4 บาท จนกระทั่งซื้อรถบรรทุกขนาดใหญ่ได้เป็นของตัวเอง!!...นี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิต
เมื่อมีรถบรรทุกแล้ว ก็รับจ้างขนส่งผัก ผลไม้ และของสด ระหว่างเชียงใหม่-กรุงเทพฯ รวมทั้งปรับปรุงวิธีการต่าง ๆ จนกระทั่งธุรกิจมีแนวทางที่ดีขึ้น จึงได้ร่วมทุนกับน้องชายอีก 2 คน เปิดเป็นบริษัทสำหรับขนส่ง “นิ่มซี่เส็ง” ในปี 2514 (จริง ๆ แล้วตระกูลวิทย์ศักดานนท์นั้น “แซ่ลิ้ม” แต่ตอนจดทะเบียนธุรกิจอาจจะฟังไม่ถนัด จึงเพี้ยนไปเป็น “นิ่ม”) กระทั่งในปัจจุบัน กลายเป็นอาณาจักรการขนส่งที่ยิ่งใหญ่เบอร์ต้น ๆ ของประเทศ
คุณชวลิต สุวิทย์ศักดานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิ่มซี่เส็งขนส่ง 1988 จำกัด ทายาทรุ่นต่อมา เล่าให้ฟังว่า ตนเองถูกฝึกให้ทำงานตั้งแต่ ป.5 จึงคุ้นชินกับเรื่องการขนส่งต่าง ๆ ถูกสอนให้รับผิดชอบ ถ้าลงมือทำอะไรแล้ว ต้องทำให้สำเร็จตามสัญญา สิ่งนี้จึงกลายเป็นนิสัยติดตัว ดังนั้น เมื่อลูกหลานจะเข้ามาทำงานที่บริษัท ไม่ได้แปลว่าจะเข้ามาเป็นผู้จัดการเลย แต่ต้องเริ่มเป็นพนักงานเหมือนกันหมด นอกจากนั้น ยังต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัย แม้จะเป็นคนเก่งแต่หากขาดระเบียบวินัย ทำอะไรก็คงไม่สำเร็จ
“สิ่งที่เราให้ความสำคัญ คือเรื่องการอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเคารพผู้ใหญ่ หากสิ่งไหนที่ผู้ใหญ่ยังไม่เห็นด้วย แต่ตนเองต้องการจะทำ ก็ต้องหาข้อมูลประกอบให้ชัดเจน พยายามพิสูจน์สิ่งที่ตนจะทำให้ผู้ใหญ่ได้เห็น”
เช่นเดียวกับคุณพลวริษฐ์ สุวิทย์ศักดา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิ่มซี่เส็งรถยก จำกัด ที่บอกว่า สิ่งสำคัญคือการนับถือซึ่งกันและกัน อย่าเอาเหตุผลส่วนตัวเป็นใหญ่ เพราะสุดท้าย “ครอบครัว” สำคัญที่สุด แต่หากเกิดการทะเลาะกัน ก็อย่าทะเลาะกันให้ลูกน้องเห็น พร้อมกับเสริมว่า “เราเชื่อมั่นในระบบ ถ้าทำครั้งแรกให้ถูกต้อง ที่เหลือก็จะถูกต้อง” หมายความว่า การมีระบบระเบียบแบบแผนที่ชัดเจนในการดำเนินงาน จะช่วยให้การตัดสินใจต่าง ๆ เป็นไปอย่างถูกต้อง และไม่เกิดปัญหา
หัวใจหลักของนิ่มซี่เส็งคือการให้บริการที่เป็นเลิศ ไม่เน้นการลดราคาเพื่อการแข่งขัน รวมทั้งมีการปรับตัวให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น ปัจจุบัน นิ่มซี่เส็งขยายธุรกิจไปในหลายสาขา โดยเฉพาะธุรกิจ “ลีสซิ่ง” ซึ่งมีแผนที่จะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์เร็ว ๆ นี้