กว่าจะเป็น Pennii Premium Popcorn ที่ครองใจตลาด Modern Trade ทั้งไทยและต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากแต่ต้องผ่านกระบวนการคิดอย่างถี่ถ้วน และกลั่นออกมาเป็นแนวทางต่าง ๆ ดังที่เห็นในปัจจุบัน
คุณพรพิมล ปักเข็ม CEO ของ Pennii Premium Popcorn เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นมาจาก Passion ของตัวเองที่ชอบเรียนรู้ ชอบการทำขนม และด้วยมุมมอง (วิสัยทัศน์) ของตัวเองที่เห็นว่า “โลกใบนี้ควรเต็มไปด้วยความสุข และมีการส่งต่อความสุขให้กันและกัน” จนได้มีโอกาสไปเรียนที่ Le Cordon Bleu ซึ่งก็ไม่ได้สอนการทำป็อบคอร์นตรง ๆ แต่เป็นจุดที่ทำให้เข้าใจเรื่องขนม หรือส่วนผสมต่าง ๆ ที่ดี มีคุณภาพ ในช่วงเวลาส่วนตัวที่บ้านจึงได้ทำขนมแบบ Homemade ให้ลูกทาน โดยจะคัดเลือกวัตถุดิบและส่วนผสมที่ดีแบบพรีเมี่ยมมาใช้ทำขนม
หลังจากชำนาญในการป็อบคอร์นมากขึ้นแล้ว จึงได้ขยายผล เปิดโรงงานเป็นจริงเป็นจัง โดยใช้ Concept เหมือนเดิม คือการใช้ของดีระดับพรีเมี่ยม ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งเน้นเรื่อง Healthy เป็นสำคัญ โดยเลือกใช้ส่วนผสมที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และยังเน้นเรื่อง Sustainable ใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต ส่วนเศษเหลือต่าง ๆ ก็จะแปรไปเป็นอาหารสัตว์ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการวิจัยและพัฒนา (R&D) ปรับปรุงและพัฒนา ทั้งตัวผลิตภัณฑ์ และ Packaging จนได้รับรางวัลเหรียญทอง (Invention and Innovation Awards) จากประเทศอังกฤษ
การเติบโตของ Pennii มาจากการมีแผนการตลาดที่เข้มแข็ง โดยใช้กลยุทธ์หลาย ๆ อย่างผสมผสานกันอย่างลงตัว อาทิ Co Branding กับแบรนด์ที่แข็งแรงอย่าง Cacoa Barry ที่มีความเชี่ยวชาญด้านช็อกโกแลต ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับ Pennii มากขึ้น มีการจัดทำ Penguin Mascot เพื่อเป็นสื่อสร้างการจดจำแบรนด์ ที่สำคัญคือ Target Audience ของเราต้องชัดเจน เราต้องรู้ว่าจะเจาะลูกค้ากลุ่มไหน เพื่อการวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่ชัดเจน
การหาพันธมิตรจากหน่วยงานต่าง ๆ ก็สำคัญ การมีเครือข่ายในช่วงการเติบโตจะเป็นตัวช่วยที่ดี ดังนั้น กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ คือการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ที่ชัดเจน นอกจากนั้น ทักษะในการสื่อสารพูดคุยก็สำคัญมาก หากสร้างความประทับใจได้ ก็หมายถึงโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจได้
Pennii ใช้ช่องทางที่หลากหลายในการเข้าถึงผู้บริโภคและคู่ค้า ซึ่งข้อดีของการมีช่องทางที่หลากหลาย คือคนรู้จักมากขึ้น พอรู้จักมากขึ้น แบรนด์ก็ยิ่งแข็งแรงขึ้น ยกตัวอย่างช่องทาง เช่น
• Offline ช่องทางการขายหลัก เน้นที่ Modern Trade
• Online ช่องทางเสริม เพิ่มการรับรู้ให้มากขึ้น
• Partner สายการบิน โรงแรม
• เป็น OEM สร้างรายได้ได้อีกทางหนึ่ง
• Global Event ร่วมงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยในต่างประเทศนั้น บางงานสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากหน่วยงานรัฐได้
• Influencer/ KOL
• Affiliate Marketing
คุณพรพิมล ให้มุมมองว่า การจะเข้า Modern Trade นั้น ต้องมีการเตรียมตัวหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมี คือ ควรมีการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักระดับหนึ่งก่อน นอกจากนั้น สินค้าที่จะนำเข้าไปขายต้องมีความแตกต่าง เพราะในตลาดจะมีสินค้าแบบเดียวกับเราเยอะ ถ้าไม่มีจุดเด่นที่แตกต่างจากเจ้าอื่นก็อาจจะลำบาก อีกประการหนึ่ง คือ ต้องรู้ว่าสินค้าของเราเหมาะกับตลาดไหน เพื่อจะได้กำหนดกลยุทธ์และทำแผนการตลาดที่ตรงจุด ชัดเจน
ความคาดหวังของ Modern Trade นั้น เขาไม่ได้หวังแค่เพียงค่า GP หรือค่าแรกเข้าจากเรา แต่เขาจะดูแผนการตลาดของเราว่าเราวางไว้อย่างไร และแผนนั้นสามารถดึงดูดคนให้เข้าไปยัง Modern Trade ได้หรือไม่ ดังนั้น แผนการตลาดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ปัจจุบัน มีหน่วยงานที่สนับสนุน SMEs อยู่หลายแห่ง และมีแต้มต่อให้ด้วย เช่น โครงการ SME Pro Active ที่มีเงินสนับสนุนเพื่อเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ สูงสุดครั้งละ 2 แสนบาท ซึ่งถือเป็นตัวช่วยที่ดีในการขยายตลาดต่างประเทศ หรือโครงการ Business Accelerator ของหอการค้าไทย ที่บ่มเพาะให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ Modern Trade ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ดีมาก และยากมาก สิ่งที่เราคิดว่ารู้แล้ว กลับมีอะไรมากกว่านั้น เราได้รู้จริง รู้ลึกในเนื้อหา กระบวนการเรียนที่เข้มข้นจาก Boot camp ได้เพื่อนที่ดี และก่อนจบจะมีวัน Pitching ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเตรียมตัวเข้า Modern Trade เพราะจะมีผู้บริหารจากที่ต่าง ๆ มานั่งฟัง และให้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์มาก ๆ ทำให้โอกาสในการเข้า Modern Trade ไม่ไกลเกินเอื้อมเลย
รับชมคลิปเนื้อหาย้อนหลังได้ที่
https://youtu.be/zVKloSjdQhs?feature=shared