รายงานฉบับสมบูรณ์ การประมวลผลงานส่งเสริม MSME ตามนโยบายรัฐ และสิทธิประโยชน์

การประมวลผลงานส่งเสริม MSME ตามนโยบายรัฐ และสิทธิประโยชน์
จัดทำโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
นำเสนอต่อ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

เพื่อรวบรวมและประมวลผลการดำเนินนโยบายหรือมาตรการส่งเสริม MSME ที่ดำเนินการต่อเนื่องถึงปีงบประมาณ 2566

 

การรวบรวมนโยบายหรือมาตรการรวมถึงสิทธิประโยชน์พบว่า ในปี 2566 มีมาตรการของรัฐที่ช่วยส่งเสริม MSME อย่างน้อย 32 มาตรการ แบ่งเป็นมาตรการทางการเงิน 5 มาตรการ มาตรการด้านการพัฒนาศักยภาพ MSME 24 มาตรการ โดยแบ่งเป็นมาตรการที่ใช้เครื่องมือทางการเงิน 15 มาตรการและไม่ใช้เครื่องมือทางการเงิน 9 มาตรการ และมาตรการด้านการพัฒนาปัจจัยเอื้อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ 3 มาตรการ ผลการรวบรวมมาตรการข้างต้นมีข้อค้นพบที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้

ประการแรก มาตรการส่วนใหญ่เป็นมาตรการส่งเสริมศักยภาพ MSME แต่กว่าครึ่งของจำนวนดังกล่าวใช้เครื่องมือทาง การเงิน สะท้อนถึงทิศทางนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของ MSME ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และการลงทุนขั้นสูง

ประการที่สอง มาตรการส่วนใหญ่มีความจำเพาะต่อกลุ่ม MSME มากกว่ามาตรการที่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง ซึ่งมักเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ประการที่สาม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงานในกลุ่มของมาตรการข้างต้นมากที่สุด โดยครอบคลุมหลายประเภทมาตรการ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และความสำคัญในห่วงโซ่มูลค่า

ประการที่สี่ การดำเนินการในมาตรการส่วนใหญ่ ยังไม่ได้มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ทำให้โครงการที่ดำเนินการตามมาตรการมีขนาดเล็กไม่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย จะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ซึ่งมักเป็นมาตรการตามมติคณะรัฐมนตรี

ประการที่ห้า มาตรการต่างๆ มีความสอดคล้องกับแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2565-2570) ของ สสว. ได้แก่ การส่งเสริมการเติบโตที่ครอบคลุม (เช่น โครงการ SME Restart ศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการ) การส่งเสริมการเติบโตแบบมุ่งเป้า(เช่น มาตรการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ) และการสร้างสภาพแวดล้อมสนับสนุนการเติบโต (เช่นมาตรการเมืองอัจฉริยะ)

 

การประเมินผลนโยบายเชิงลึก: มาตรการช้อปดีมีคืน

มาตรการช้อปดีมีคืนเป็นมาตรการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่าย ภายในประเทศ ในปี 2566 กำหนดให้ผู้เสียภาษีสามารถนำยอดการใช้จ่ายสินค้าและบริการระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2566 มาลดหย่อนภาษีในปีถัดไป โดยกำหนดยอดการใช้จ่ายสูงสุด 40,000 บาท แบ่งเป็น 30,000 บาทแรกเป็นใบกำกับภาษีแบบกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice หรือ e-Receipt) และ 10,000 บาท เป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น

  1. ด้านบริบท ถึงแม้มาตรการช้อปดีมีคืนจะมีวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน และไม่ได้ปิดกั้นการเข้าร่วมมาตรการของ MSME แต่ระบบต่างๆ ไม่ได้รับการออกแบบมาให้เอื้อต่อบริบท ของ MSME นอกจากนี้ แม้นโยบายจะมีทิศทางที่ดีในการผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีและ ดิจิทัล แต่ยังขาดการส่งสัญญาณหรือทิศทางที่ชัดเจนและสม่ำเสมอเพื่อสนับสนุนเพื่อการเตรียมความ พร้อมของผู้ประกอบการ
  2. ด้านปัจจัยนำเข้า แม้ว่ากรมสรรพากรจะมีการอบรมทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการในเชิงรุก แต่ยังมีความล่าช้า โดยเฉพาะการประกาศมาตรการทำให้ผู้ประกอบการเตรียมตัวไม่ทัน ปัญหาดังกล่าว ส่งผลต่อเนื่องไปยังผู้ให้บริการจัดทำหรือนำส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (service provider) ซึ่งแม้ กรมสรรพากรจะมีการส่งเสริมบริการดังกล่าวควบคู่กับการแบ่งเบาค่าใช้จ่ายผ่านระบบ Business Development Service (BDS) แต่ผู้ให้บริการก็ขาดความพร้อมในการหาลูกค้า จัดทำโปรแกรมทางภาษี หรือรูปแบบการให้บริการที่สอดคล้องกัน
  3. ด้านกระบวนการ ผู้ประกอบการเผชิญความยากลำบากในการเข้าสู่ระบบภาษี โดยเฉพาะภาษี อิเล็กทรอนิกส์ (e-filing) ระบบบัญชีเดียว และมาตรการขาดเจตนารมณ์ที่ชัดเจนทำให้ผู้ประกอบการ หลายรายกังวลต่อการถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง รวมถึงกรอบระยะเวลาการใช้จ่ายในโครงการที่ค่อนข้าง สั้นทำให้ธุรกิจเผชิญความไม่คุ้มค่าสำหรับการลงทุนในระบบ
  4. ด้านผลลัพธ์แม้ว่าสถิติจำนวนการเข้าสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์จะเพิ่มขึ้นจาก 947 ณ สิ้นปี 2565 เป็น 2,397 ราย ณ สิ้นปี 2566 แต่ส่วนมากเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2566 ที่ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรการ ช้อปดีมีคืน 2566 โดยส่วนใหญ่ (65%) เป็นธุรกิจ MSME ในภาคบริการที่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล อย่างไรก็ตามฐานข้อมูลในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อการประเมินผลต่อการส่งเสริมการใช้จ่ายกับ ธุรกิจ MSME
  5. ด้านผลกระทบ มาตรการช้อปดีมีคืนมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการบริโภค 29,015.9 ล้านบาท แต่ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการเลื่อนหรือขยับการบริโภค หลักการสำคัญคือผู้ประกอบการ MSME ไม่มีความ มั่นใจว่ามาตรการจะดำเนินการในทุกปีหรือไม่ และในระหว่างปีไม่มีสิทธิประโยชน์อื่นใดเพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้เห็นประโยชน์ของการเข้าสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับมาตรการช้อปดีมีคืนอาศัยกรอบการลดต้นทุนและอุปสรรคใน การเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ การลดอุปสรรคทางบัญชี ลดต้นทุนการเข้าสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์โดย ส่งเสริมการใช้ระบบ time stamp และการใช้ service provider ในการลดต้นทุนการจัดการระบบ ร่วมกับการเพิ่มประโยชน์และสร้างแรงจูงใจในการเข้าร่วม ได้แก่ การส่งสัญญาณแนวนโยบายที่ชัดเจน โดยเฉพาะการมุ่งสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ การสร้างแต้มต่อแก่ MSME และการสร้างระบบรวบรวม สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อจูงใจให้มีการเข้าสู่ระบบภาษีของธุรกิจขนาดเล็ก

การประเมินผลนโยบายเชิงลึก: มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับ SMEs ของ BOI

มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับ SMEs ของ BOI เป็นมาตรการที่ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับ เครื่องจักร และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวงเงินลงทุนในโครงการ แบ่งเป็นมาตรการผ่อนปรน เงื่อนไขสำหรับ MSME เช่น การเพิ่มอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจดทะเบียน การลดเงินลงทุนขั้นต่ำ และ อนุญาตให้ใช้เครื่องจักรใช้แล้วในประเทศได้ เป็นต้น และมาตรการทั่วไปที่ไม่จำกัดสำหรับ MSME ที่มี เงื่อนไขเข้มงวดกว่า นอกจากนี้ BOI ยังมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมที่การศึกษานี้ร่วมประเมินแบบ องค์รวม ได้แก่ สิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมเมื่อลงทุนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน มาตรการยกระดับ SME ไปสู่ smart and sustainable industry และสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการ กระจายการลงทุนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ จากการประเมินพบว่า

  1. ด้านบริบท ถึงแม้วัตถุประสงค์ของมาตรการจะมีการมุ่งเป้าในกลุ่ม MSME ให้ปรับตัวต่อ กระแสสำคัญของโลก แต่หลายปัจจัย เช่น เทคโนโลยี ความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานไม่สอดคล้องกับบริบท ของ MSME อีกทั้งในเชิงพื้นที่ยังมีการกระจุกตัวของการลงทุนในภาคกลางและภาคตะวันออก ขณะที่ใน ด้านทิศทางของนโยบายถือว่ามีลักษณะถ้วนหน้า แต่ขาดการจัดลำดับความสำคัญในอุตสาหกรรม เป้าหมายที่ชัดเจน
  2. ด้านปัจจัยนำเข้า ข้อจำกัดสำคัญคือ BOI มีทรัพยากรบุคคลและงบประมาณที่จำกัดและต้องใช้ ร่วมกับภารกิจอื่นๆ ขณะที่การทำงานเพื่อส่งเสริม MSME ในปัจจุบันมีการทับซ้อนกับหน่วยงานอื่น รวมถึงขาดฐานข้อมูลในการเชื่อมโยงและออกแบบมาตรการที่ตอบโจทย์และมุ่งเป้า MSME อย่างแท้จริง
  3. ด้านกระบวนการ ขั้นตอนการขอรับสิทธิประโยชน์ยังมีความยุ่งยากสำหรับผู้ประกอบการ MSME เนื่องจากธุรกิจไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการจัดการ เช่น การจัดทำข้อเสนอโครงการ (แม้ BOI มี บริการให้คำปรึกษารองรับ) การจัดทำบัญชีเดียวและมาตรฐานทางภาษี การประชาสัมพันธ์ที่เข้าไม่ถึง MSME และขาดการประเมินผลในเชิงลึกรายมาตรการ
  4. ด้านผลลัพธ์ ในปี 2566 มีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนกับ BOI จำนวน 943 โครงการ คิดเป็น 41% ของจำนวนโครงการทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเทียบกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดก็นับว่าBOI ประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการดึงดูดผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมการลงทุน อย่างไรก็ตาม ตัวเลข รวม 9 ปี (ปี 2558-2566) มีเพียง 5,980 โครงการ ซึ่งน้อยกว่าจำนวนวิสาหกิจขนาดกลางที่เป็น กลุ่มเป้าหมายของมาตรการดังกล่าว 43,564 รายค่อนข้างมาก
  5. ด้านผลกระทบ ในปี 2566 การขอรับการส่งเสริมการลงทุนคิดเป็นมูลค่าการลงทุน 36,010 ล้านบาท หรือเพียง 4% ของมูลค่าการลงทุนตามโครงการที่ขอรับการส่งเสริมทั้งหมดกับ BOI ในปี เดียวกัน สะท้อนถึงปัญหาที่เป็นไปได้ เช่น MSME ยังไม่มีความพร้อมต่อการลงทุนมูลค่าสูง หรือสิทธิ ประโยชน์ทางภาษียังไม่จูงใจมากพอสำหรับผู้ประกอบการ MSME ขณะที่ด้านความยั่งยืน แม้มาตรการ อาจส่งเสริมให้ MSME ขยายขนาดและเติบโตได้จากการลงทุน แต่มาตรการยังขาดการมุ่งเป้าตาม ยุทธศาสตร์เพื่อการส่งเสริม MSME ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับ SMEs ของ BOI มุ่งเน้นไปที่ การบูรณาการระหว่าง BOI กับหน่วยงานตัวกลางที่มีหน้าที่ส่งเสริม MSME เช่น สำนักงานนวัตกรรม แห่งชาติ (NIA) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ฯลฯ ในการบ่มเพาะผู้ประกอบการให้มีความพร้อมก่อนส่งต่อ และช่วยเหลือในการจัดทำข้อเสนอโครงการเสนอต่อ BOI โดย BOI เป็นผู้ฝึกสอนหน่วยงานตัวกลาง (train the trainer) ให้มีทิศทางการบ่มเพาะที่เหมาะสม ในขณะที่ผู้ประกอบการที่ต้องการขอรับการ ส่งเสริมโดยตรงจาก BOI ตามปกติ เสนอให้มีการกำหนดที่ปรึกษาของ BOI และ/หรือ สสว. ในการช่วย จัดทำข้อเสนอโครงการและกระบวนการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกับการลดขั้นตอนและเกณฑ์สำหรับ MSME โดยเฉพาะ นอกจากนั้นการดำเนินการเหล่านี้ควรอยู่ภายใต้กรอบอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญ ก่อน ร่วมกับการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์เชิงรุกและบูรณาการ และการเก็บข้อมูล ติดตามประเมินผล เชิงลึกเพื่อพัฒนามาตรการอย่างต่อเนื่อง

 

อ่านฉบับเต็ม

-------------------------------------------------------------
SMEs policy Department, TCC&BoT
Tel: 02-018-6888 (2660)