MSME Outlook ไตรมาสที่ 3 ปี 2567

รายงานสถานการณ์ MSME ไตรมาส 3/2567
โดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

Highlight:

▶ สถานการณ์เศรษฐกิจโลก (กรกฎาคม 2567)


จากการวิเคราะห์ของ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 3.2 ในปี 2567 และคาดว่าเศรษฐกิจโลกปี 2568 จะเติบโตได้ร้อยละ 3.3 โดยเป็นการเติบโตจากกลุ่มประเทศ Advanced Economies ร้อยละ 1.7 จากการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ร้อยละ 2.6 และกลุ่มประเทศยุโรป ร้อยละ 0.9 ส่วนในกลุ่มประเทศ Emerging Market and Developing Economies ยังคงขยายตัวได้ ร้อยละ 4.3 โดยประเทศจีนและอินเดียเติบโตได้ร้อยละ 5.0 และ 7.0 ตามลําดับ ส่วนประมาณการในปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ ร้อยละ 3.3 จากกลุ่ม Advanced Economies ที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 1.8 และกลุ่ม Emerging Market and Developing Economies คาดขยายตัวได้ร้อยละ 4.3

ประเด็นสําคัญที่ต้องติดตาม

  • ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่รุนแรงมากขึ้น
  • การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
  • ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งอาจลดลงในระยะต่อไป
  • ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
  • มาตรการการกีดกันสินค้านําเข้าจากจีน จากการที่จีนระบายสินค้าออกตลาดโลกเพิ่มขึ้น

 

▶ สถานการณ์เศรษฐกิจไทย


เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2/2567 ขยายตัวร้อยละ 2.3 (%YoY) เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.6 ในไตรมาสแรกของปี 2567 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว (QoQ_SA) เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2/2567 ขยายตัวจากไตรมาสแรกของปี 2567 ร้อยละ 0.8 รวมครึ่งแรกของปี 2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ร้อยละ 1.9 เศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 2.3 – 2.8 (ค่ากลางประมาณการร้อยละ 2.5) โดยมีปัจจัย สนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ การเพิ่มขึ้นของแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐ และการกลับมาขยายตัวอย่างช้า ๆ ของการส่งออกสินค้า ตามการฟื้นตัวของการค้าโลก โดยคาดว่า การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 4.5 และร้อยละ 0.3 ตามลําดับ

▶ ภาพรวมเศรษฐกิจของ MSME ไตรมาสที่ 2/2567 
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (GDP MSME) ไตรมาสที่ 2/2567 ขยายตัว 3.9% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 2.6% โดยมีมูลค่า 1,570,822 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP รวม เท่ากับ 34.8% ขณะที่ GDP ไทยในไตรมาสที่สองของปี มีมูลค่า 4,516,653 ล้านบาท ขยายตัว 2.3% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 1.7% ในไตรมาสก่อน เมื่อพิจารณาตามขนาดธุรกิจ พบว่า GDP MSME ขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนทุกขนาดวิสาหกิจ โดย GDP ของวิสาหกิจรายย่อย (Micro) ขยายตัวได้มากที่สุดเท่ากับ 5.1% ขณะที่ GDP ของวิสาหกิจขนาดย่อมขยายตัว 4.4% และ GDP ของวิสาหกิจขนาดกลางขยายตัว 3.3% โดย GDP MSME ของสาขาธุรกิจในภาคการผลิตขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน ขณะที่ภาคการค้า และภาคการบริการส่วนใหญ่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง 

▶ ภาพรวมเศรษฐกิจของ MSME ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 
ภาพรวมเศรษฐกิจ MSME ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 GDP MME มีมูลค่า 3,194,654 ลบ. คิดเป็นสัดส่วน 35.0% ต่อ GDP รวม โดยขยายตัว 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในภาพรวม GDP MSME ยังเติบโตในระดับที่สูงกว่า GDP รวม โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ดังนี้


ปัจจัยที่สนับสนุน

  • รายได้จากการท่องเที่ยว ทั้งจากคนไทยและชาวต่างชาติ แม้จะมีแนวโน้มการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนลดลง แต่ในด้านจํานวนนักท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ตามเป้าหมาย
  • โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐโดยเฉพาะการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งถนนต่าง ๆ จะส่งผลให้ธุรกิจที่อยู่ในพื้นที่ได้รับอานิสงส์
  • อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ทําให้การบริโภคยังขยายตัวได้แม้มีแนวโน้มชะลอตัวลง
  • การเข้ามาลงทุนของต่างชาติยังขยายตัวต่อเนื่อง

 

ปัจจัยที่ส่งผลทางลบ

  • สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ณ ไตรมาสที่ 1/2567 เท่ากับ 90.8% ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน แต่ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 90% ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้จ่ายในอนาคต 
  • อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังอยู่ในระดับสูงสําหรับกลุ่มธุรกิจเปราะบาง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดย่อมซึ่งประสบปัญหาด้านสภาพคล่องมากที่สุด ขณะที่การให้สินเชื่อ SME ของธนาคารพาณิชย์ยังลดลงต่อเนื่อง
  • การเข้ามาแข่งขันจากสินค้านําเข้าที่มีราคาตํ่ากว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ ส่งผลกระทบต่อ MSME ไทยมากขึ้น และกระทบเป็นวงกว้างในหลาย ๆ สินค้าของ MSME ไทย
  • การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจากภาวะเอลณีโญ ส่งผลให้ผลผลิตสินค้าเกษตรหลายชนิดลดลง กระทบต่อรายได้เกษตรกรและธุรกิจเกษตร

 

▶ ภาพรวมเศรษฐกิจของ MSME ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 
สําหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการขยายตัวของ GDP MSME คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสถานการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปี สสว. จึงยังประมาณการอัตราการขยายตัวของ GDP MSME ในปี 2567 เท่ากับ 2.1% – 3.1% หรือค่ากลางเท่ากับ 2.6% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,503,609 ลบ. ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในปี 2567 ได้แก่ การดําเนินมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคต่าง ๆ สถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเมียนมาร์ และลาว การแข็งค่าของเงินบาท การรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้

▶ เครื่องชี้วัดสถานการณ์ SME ไตรมาสที่ 2/2567


 

ดัชนี MSME รายสาขา ไตรมาสที่ 2/2567 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2567 โดยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ร้อยละ 2.2 เป็นผลมาจากผลผลิตในภาคการบริการที่เติบโตขึ้นร้อยละ 1.2 จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ทั้งการเพิ่มขึ้นของจํานวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มกลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวไทย ส่งผลให้ธุรกิจการบริการและที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีผลผลิตเพิ่มขึ้น โดยสาขาธุรกิจภาคการบริการเติบโตได้ดี 3 อันดับ ได้แก่ กิจกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวที่ร้อยละ 2.4 กิจกรรมบริการทางการเงิน ยกเว้น การประกันภัยและกองทุนบําเหน็จบํานาญ ขยายตัวที่ร้อยละ 6.9 และธุรกิจที่พักแรม ขยายตัวที่ร้อยละ 0.5 ขณะเดียวกันธุรกิจบริการบางสาขาหดตัวลง ได้แก่ การก่อสร้างอาคารหดตัวลงร้อยละ 5.9 ในส่วนธุรกิจภาคการค้าเติบโตร้อยละ 3.2 โดยได้รับอานิสงส์มาจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว โดยธุรกิจการขายปลีก ยกเว้น ยานยนต์และจักรยานยนต์ ขยายตัวถึงร้อยละ 4.5 และการขายส่ง ยกเว้น ยานยนต์และจักรยานยนต์ ขยายตัวร้อยละ 2.6 ในส่วนภาคการผลิตมีการเติบโตร้อยละ1.2 ตามความต้องการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ รวมถึงแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยธุรกิจสาขาการผลิตที่เติบโตได้ดี 3 อันดับ ได้แก่ ธุรกิจการผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก ขยายตัวร้อยละ 14.8 ธุรกิจการผลิตโลหะขั้นมูลฐาน ขยายตัวร้อยละ 9.4 และธุรกิจการผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี ขยายตัวร้อยละ 4.1 ขณะเดียวกัน ธุรกิจบางสาขามีผลผลิตลดลง ได้แก่ ธุรกิจการซ่อมและการติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ หดตัวลงร้อยละ 11.1 ธุรกิจการผลิตถ่านโค้กและการผลิตผลิตภัณฑ์จากการกลั่นปิโตรเลียม หดตัวลงร้อยละ 9.9 และธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร หดตัวลงร้อยละ 6.2 ส่วนภาคธุรกิจการเกษตรมีระดับผลผลิตหดตัวลงร้อยละ 2.1 จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิสูงทําให้ผลผลิตด้านการเกษตรลดลง โดยสาขาธุรกิจการเกษตรหดตัวในทุกสาขาธุรกิจ ได้แก่ การเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ การล่าสัตว์และกิจกรรมบริการที่เกี่ยวข้อง หดตัวร้อยละ 2.1 ธุรกิจการประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์นํ้า และธุรกิจป่าไม้และการทําไม้ ต่างหดตัวลงร้อยละ 0.1

ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม

หรือแสกน QR CODE

-------------------------------------------------------------
SMEs Department, TCC&BoT
Tel: 02-018-6888 (2660)