รายงานสถานการณ์ MSME ไตรมาส 2/2567
โดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
Highlight:
▶ ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
สถานการณ์เศรษฐกิจโลก (เมษายน 2567) จากการวิเคราะห์ของ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 3.2 ในปี 2567 และคาดว่าเศรษฐกิจโลกปี 2568 จะเติบโตได้ร้อยละ 3.2 โดยสูงกว่าการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกเมื่อเดือนมกราคม 2567 โดยเป็นการเติบโตจากกลุ่มประเทศ Advanced Economies ร้อยละ 1.7 จากการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ร้อยละ 2.7 และกลุ่มประเทศยุโรป ร้อยละ 0.8 ส่วนในกลุ่มประเทศ Emerging Market and Developing Economies ยังคงขยายตัวได้ ร้อยละ 4.2 โดยประเทศจีนและอินเดียเติบโตได้ร้อยละ 4.6 และ 6.8 ตามลําดับ ส่วนประมาณการในปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจโลก จะขยายตัวได้ร้อยละ 3.2 เท่ากับปี 2567 จากกลุ่ม Advanced Economies ที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 1.8 และ
กลุ่ม Emerging Market and Developing Economies คาดขยายตัวได้ร้อยละ 4.2
ประเด็นสําคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดในหลายประเทศ และการผลิตที่ล้นตลาดของภาคการผลิตในประเทศจีน และการพยายามระบายสินค้าออกไปทั่วโลก ส่งผลต่อมาตรการกีดกันสินค้าทั้งในสหรัฐและยุโรป
▶ GDP MSME และการประมาณการเศรษฐกิจของ MSME
GDP MSME ไตรมาสที่ 1/2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (GDP MSME) ไตรมาสที่ 1/2567 ขยายตัว 2.4 % ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 3.2% โดยมีมูลค่า 1,624,615 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP รวม เท่ากับ 35.2% ขณะที่ GDP ไทยในไตรมาสแรกของปีมีมูลค่า 4,614,721 ล้านบาท ขยายตัว 1.5% ชะลอตัว จากการขยายตัว 1.7% ในไตรมาสก่อน เมื่อพิจารณาตามขนาดธุรกิจ พบว่า GDP วิสาหกิจรายย่อย (Micro) ขยายตัวได้มากที่สุดเท่ากับ 2.9% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 1.8% ในไตรมาสก่อน ขณะที่ GDP วิสาหกิจขนาดกลาง และวิสาหกิจขนาดย่อม ขยายตัวได้ 2.4%
คาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจ MSME ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 คาดว่า GDP MSME จะมีมูลค่า 3,160,171 ลบ. คิดเป็น 35.0% ของ GDP รวม ขยายตัว 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในภาพรวม GDP MSME ยังเติบโตในระดับที่สูงกว่า GDP รวม ทั้งนี้ สสว. ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของ GDP MSME ในปี 2567 เท่ากับ 2.1% – 3.1% (ค่ากลางเท่ากับ 2.6%) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,458,000 ลบ. โดยปรับลดลงจากอัตราการขยายตัว 2.0% – 3.7% (ค่ากลางเท่ากับ 2.7%) ที่ได้ ประมาณการไว้ ณ มีนาคม 2567 จากการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่ไม่เป็นไปตามรอบปกติ ราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นแม้ปริมาณผลผลิตหลายชนิดลดลง และการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศ
ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในปี 2567 ได้แก่ การดําเนินมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคต่าง ๆ สถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเมียนมาร์ และลาว ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้
▶ จํานวนและการจ้างงานวิสาหกิจขนาดกลางและวิสาหกิจขนาดย่อม
จํานวนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี 2566 มีจํานวน 3,225,743 ราย ขยายตัวจากปี 2565 ร้อยละ 1.2 และมีสัดส่วนร้อยละ 99.5 เมื่อเทียบกับวิสาหกิจทั้งประเทศ โดยวิสาหกิจส่วนใหญ่เป็นวิสาหกิจรายย่อยจํานวน 2,739,530 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 84.5 รองลงมาเป็นวิสาหกิจขนาดย่อมจํานวน 439,058 ราย คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 13.5 และเป็นวิสาหกิจขนาดกลางจํานวน 47,155 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.4 ส่วนวิสาหกิจขนาดใหญ่มีจํานวน 16,361 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.5
การจ้างงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมปี 2566 มีการจ้างงานจํานวน 12,930,004 คน ขยายตัวจากปี 2565 คิดเป็นร้อยละ 0.79 และมีสัดส่วนการจ้างงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมร้อยละ 70.4 เมื่อเทียบกับการจ้างงาน รวมทั้งประเทศ โดยการจ้างงานในส่วนของวิสาหกิจขนาดใหญ่มีการจ้างงานสูงสุดจํานวน 5,432,237 คน หากจําแนกเฉพาะการจ้างงานในส่วนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมพบว่า การจ้างงานสูงสุดอยู่ในขนาดวิสาหกิจรายย่อยจํานวน 5,426,410 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.6 ของการจ้างงานทั้งหมด รองลงมาอยู่ในวิสาหกิจขนาดย่อมจํานวน 5,047,755 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 27.5 และวิสาหกิจขนาดกลางมีจํานวน 2,455,839 คน คิดเป็นร้อยละ 13.4 หากพิจารณาจาก ค่าเฉลี่ยการจ้างงานตามขนาดวิสาหกิจพบว่า มีการจ้างงานลดลงในทุกขนาดของผู้ประกอบการ โดยวิสาหกิจรายย่อยมีการจ้างงานลดลงจาก 2 คนเหลือ 1.98 คน วิสาหกิจขนาดย่อมลดลงจาก 11.84 คนเหลือ 11.50 คน วิสาหกิจขนาดกลางลดลงจาก 55.77 คน เหลือ 52.08 คน วิสาหกิจขนาดใหญ่ ลดลงจาก 358.46 คน เหลือ 332.02 คน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากต้นทุนค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้นประกอบกับการเริ่มปรับใช้เทคโนโลยีในกิจการ
▶ การวิเคราะห์เครื่องชี้วัดสถานการณ์และดัชนีผลผลิตรายสาขา MSME
สรุปสถานการณ์เครื่องชี้ SME ไตรมาสที่ 1/2567 พบว่าผู้ประกอบการ SME เติบโตมากกว่าไตรมาสก่อนหน้า และในไตรมาสเดียวกันกับปีก่อน สะท้อนผ่านรายได้ที่เติบโตขึ้นของ SME จากกําลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว ประกอบกับต้นทุนที่ลดลงอย่างมากจากการนําเข้าสินค้าราคาถูกจากประเทศจีน โดยภาคการค้าและภาคบริการที่เติบโตยังคงมีความท้าทาย เนื่องจากความต้องการสินค้าภายในประเทศยังคงผันผวนและการแข่งขันที่สูงขึ้นจากการนําเข้าสินค้าต่างประเทศ รวมถึงความสามารถของผู้ประกอบการในการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ภาคการผลิตกําลังฟื้นตัวแต่ยังมีปัจจัยที่ท้าทายหลายด้าน เช่น ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และการแข่งขันในตลาด ส่วนภาคธุรกิจการเกษตรฟื้นตัวจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร แต่ยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในอนาคต
ดัชนี MSME รายสาขา ไตรมาสที่ 1/2567 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4/2566 โดยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 2.2 เป็นผลมาจากผลผลิตในภาคการบริการที่เติบโตขึ้นร้อยละ 0.1 จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ธุรกิจการบริการและที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีผลผลิตเพิ่มขึ้น ธุรกิจภาคการค้าเติบโตร้อยละ 5.2 เป็นผลมาจากความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีนและการบริโภคของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ภาคการผลิตมีการเติบโตร้อยละ 2.8 ตามความต้องการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ รวมถึงแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และภาคธุรกิจการเกษตรมีระดับผลผลิตหดตัวลงร้อยละ 9.0 จากผลกระทบเอลนีโญที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2566 ต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปี 2567 ทําให้ปริมาณฝนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
▶ สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของ MSME ไตรมาสที่ 1/2567
มูลค่าการส่งออกของ MSME ไตรมาสที่ 1/2567 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 10.1% ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน แต่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค. - มี.ค.) ของปี 2567 MSME มีการส่งออกสินค้าคิดเป็นมูลค่า 342,138.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9,698.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วน ต่อมูลค่าการส่งออกรวมเท่ากับ 13.7% ขณะที่มูลค่าการส่งออกรวมของประเทศมีมูลค่า 70,995.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.2% การส่งออกของ MSME ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่า 611,509.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17,129.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออกรวมเท่ากับ 14.2% ขณะที่มูลค่า การส่งออกรวมของประเทศมีมูลค่า 120,493.4 ล้านเหรียญสหรัฐขยายตัว 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การนําเข้าของ MSME ไตรมาสแรกของปี 2567 ขยายตัว 1.3% (YOY) ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่ยังเป็นการนําเข้าสินค้าในกลุ่มวัตถุดิบ การนําเข้าของ MSME ช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 มีมูลค่าเท่ากับ 358,954.4 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10,068.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเท่ากับ 1.3% โดยมีสัดส่วนต่อมูลค่าการนําเข้ารวมเท่ากับ 13.3% ขณะที่มูลค่าการนําเข้ารวมของประเทศมีมูลค่า 120,493.4 ล้านเหรียญสหรัฐขยายตัว 3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนําเข้าของ MSME ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่าเท่ากับ 613,035.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17,001.8 ล้าน เหรียญสหรัฐ ขยายตัวเท่ากับ 1.4% โดยมีสัดส่วนต่อมูลค่าการนําเข้ารวมเท่ากับ 13.5% ด้านแหล่งนําเข้าของ MSME พบว่าการนําเข้าจากจีนซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุด แต่ชะลอตัวต่อเนื่องโดยขยายตัวเพียง 1.0% รองลงมาคือกลุ่มอาเซียน ขยายตัวได้ 14.4% ขณะที่การนําเข้าจากสหภาพยุโรปลดลง 4.0%
▶ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME(SMESI)
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) ของประเทศในไตรมาสที่ 2/2567 อยู่ที่ระดับ 52.8 ซึ่งระดับดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับตัวลดลงจากระดับ 53.9 ของไตรมาสก่อนหน้า ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงต้นไตรมาสได้รับอานิสงส์จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีการจัดอีเวนท์ของทั้งหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ส่งผลดีต่อธุรกิจภาคการบริการเป็นอย่างมากโดยเฉพาะสาขาการท่องเที่ยว แต่เริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ช่วงกลางไตรมาส จากปัจจัยด้านกําลังซื้อ ปัจจัยด้านต้นทุนที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นจาก การสิ้นสุดมาตรการตรึงราคานํ้ามันเชื้อเพลิง รวมถึงปัจจัยด้าน สภาพอากาศแปรปรวนที่สงผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร
ภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) รายภาคธุรกิจในไตรมาสที่ 2/2567 พบว่า ปรับตัวลดลงในทุกภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคธุรกิจการเกษตร อาจมีสาเหตุมาจากสภาพอากาศแปรปรวน ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตทางการเกษตร อีกทั้งปัจจัยด้านกําลังซื้อลดลงส่งผลให้สาขาธุรกิจภาคการค้าชะลอตัวลง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) คาดการณ์ไตรมาสที่ 3/2567 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 53.8 คาด ชะลอลงเนื่องจากเป็นช่วง Low Season ที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวและความกังวลต่อต้นทุนทําให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มสูงขึ้นจากค้าขนส่งที่เพิ่มขึ้นเพราะไม่มีมาตรการตรึงราคานํ้ามันดีเซล รวมถึงปัจจัยด้านกําลังซื้อที่ส่งผลต่อการซื้อสินค้าของผู้บริโภค แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นได้เล็กน้อยจากการเบิกจ่ายของทางภาครัฐที่ต้องเร่งเบิกจ่ายให้ทันก่อนสิ้นปีงบประมาณ
ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม
หรือแสกน QR CODE