เสวนาหัวข้อ PDPA น่ากลัวไหม เห็นใครเขาพูดกัน

สรุปสาระสำคัญการเสวนา 
เรื่อง “PDPA น่ากลัวไหม เห็นใครเขาพูดกัน”
งานมหกรรมรวมพลัง SME ไทย (Thailand SME Synergy Expo 2024)
วันที่ 21 มิถุนายน 2567 ณ  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

 

คุณษมภูมิ สุขอนันต์ นิติกร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 

กฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) เป็น พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งถูกกำหนดขึ้นเพื่อใช้ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ให้ถูกจัดเก็บหรือนำไปใช้โดยไม่ได้แจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบ และได้รับความยินยอมในฐานะเจ้าของข้อมูลก่อน ทั้งนี้ กฏหมาย PDPA ได้ถอดแบบมาจากกฎหมายต้นแบบอย่างกฎหมาย GDPR (General Data Protection Regulation) ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป ทั้งนี้ ในประเทศไทยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมาย PDPA เพื่อให้เป็นกฎเกณฑ์หรือกฎระเบียบของการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้มีการสร้างการรับรู้ และตระหนักรู้ เพื่อป้องกันข้อมูลของเจ้าของข้อมูลไม่ให้ไปตกอยู่ในมือมิจฉาชีพ ในการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปหลอกบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีกฎหมายดังกล่าวก็จะไม่มีใครควบคุม 

พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ที่ออกมาจะเป็นหลักเกณฑ์ที่จะทำให้ทราบว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรให้ถูกต้อง เช่น ช่วงแรกที่กฎหมายตัวนี้ออกมามีพูดถึงเรื่อง การถ่ายรูปลงโซเชียล แล้วติดบุคคลที่สองหรือที่สาม ถ้าบุคคลนั้นมาพบสามารถที่จะแจ้งความเอาผิดได้ ทุกคนก็กลัวไม่กล้าถ่ายรูปลงโซเชียลอยู่ช่วงหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งก็จะเป็นหน้าที่ของสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) ที่จะต้องให้ความรู้ ให้คำปรึกษา พร้อมรับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ จากประเด็นดังกล่าว หากดูตามพฤติการณ์ว่าการใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ส่วนตน ใช้ภายในครอบครัว ก็จะไม่มีความผิด แต่ถ้านำไปใช้แสวงหาประโยชน์ และทำให้เกิดความเสียหายก็อาจถูกร้องเรียนได้  ซึ่งการมีพฤติกรรมหรือพฤติการณ์ของการเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมเป็นประจำ และไม่มีระบบที่ดี  และไปทำให้เจ้าของข้อมูลเสียหายก็จะมีเหตุให้ถูกร้องเรียนและเกิดความผิดได้ โดย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPC มีหน้าที่ในการชี้แนะ หรือกำหนดแนวทางให้ผู้ประกอบการได้ปฏิบัติตามแนวทาง หรือเข้าไปช่วยตรวจสอบกำกับดูแลเท่านั้น ส่วนอำนาจในการออกกฎกมาย กฎระเบียบ พิจารณาตัดสินจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการซึ่งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPC ดูแลอยู่ทั้งหมด 3  คณะดังนี้ 

  • คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล : มีอำนาจหน้าที่ทางด้านนิติบัญญัติในการออกกฎ และระเบียบ เพื่อให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประกอบการได้ใช้ได้ถูกต้อง
  • คณะกรรมการกำกับสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล : มีอำนาจหน้าที่ในการออกกฎ และระเบียบ ในการบริหารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ : มีหน้าที่กลั่นกรองประเด็นหรือกรณีที่มีข้อร้องเรียน ว่าผิดหรือไม่ผิด
     

กฎหมาย PDPA ถ้าดูในรายละเอียด จะมีข้อยกเว้นว่า การเก็บรวบรวมถ้าหากมีการเก็บอย่างถูกวิธี ตามที่มีระบุไว้ในมาตรา 24 ที่จะบอกไว้ว่าเก็บได้จากอะไร และถ้าเอาไปใช้ตามมาตรา 27 ที่จะมีข้อยกเว้นอยู่ในบางกรณี ผู้เก็บหรือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไม่ต้องขอการยินยอมทุกครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเก็บหรือการนำข้อมูลของคนอื่นไปใช้จะต้องมีฐานตามกฏหมายที่ชัดเจน ซึ่งมีข้อดีคือ เป็นการกระตุ้นให้ทางผู้ควบคุมข้อมูลมีระบบที่ดี ส่วนข้อเสียก็จะเป็นการเพิ่มขั้นตอน เพราะฉะนั้นกฎหมาย PDPA ถ้าทุกท่านทำถูกต้องก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวแต่อย่างใด ทั้งนี้ ยกตัวอย่างในบางกรณีที่ภาพของผู้ร้องเรียนไปปรากฏอยู่บนสื่อหรือบนโฆษณาแล้วรู้สึกว่าไม่โอเคโดนคุกคาม ผู้ร้องเรียนมีสิทธิ์แจ้งให้กับผู้ประกอบการ หรือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ลบภาพนั้นออกได้ ถึงแม้ว่าจะมีข้อยกเว้นตามกฎหมายสำหรับสื่อก็ตาม เพราะจะมีเรื่องของจรรยาบรรณ และขอบเขตหรือสิทธิตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้  ซึ่งผู้ประกอบการภาคเอกชนควรมีความเข้าใจ และมีความรู้เรื่องกฎหมาย PDPA เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนในองค์กรควรต้องรับรู้ พึงระวัง และปฏิบัติตามกฏหมายในการดูแลควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลในองค์กร ในการดำเนินการตามกฏหมายได้อย่างถูกต้อง 

สำหรับกรณีที่มีการร้องเรียนการทำผิดมากที่สุด ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับด้านธุรกิจ ส่วนใหญ่จะเป็นกรณีเกี่ยวกับภาคธนาคาร ประกัน และโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาล  เพราะส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับข้อมูล Sensitive List 

ผศ.ดร.ประพันธ์พงษ์ ขำอ่อน คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

กิจกรรมในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลจะมีหลักการอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 ประการ ดังนี้

  • Lawful processing and transparency ความชอบธรรมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลและมีความโปร่งใส
  • Necessity and Purpose Limitation ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลตามวัตถุประสงค์และเท่าที่จำเป็น 
  • Data Accuracy ต้องทำข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
  • Limitation of Storage มีระยะเวลาในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่แน่นอน จะเก็บข้อมูลตลอดไปไม่ได้ต้องมีระยะเวลาในการทำลายทิ้งเพราะยิ่งเก็บยิ่งเสี่ยง
  • Security มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม 
  • เคารพสิทธิของ Data Subject โดยดำเนินการตามคำร้องขอของ Data Subject ตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนด 

 

หลักการของกฎหมาย PDPA คือความยินยอมของลูกค้า ลูกค้าต้องสามารถให้โดยอิสระ ซึ่งหมายถึงลูกค้ามีสิทธิ์ที่จะยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ได้ ตัวอย่างเช่น หากท่านจะเข้าแอปพลิเคชั่น เพื่อไปซื้อของ แอปพลิเคชั่นจะขอความยินยอมจากท่านว่า ท่านยินยอมให้บริษัทส่งข้อมูลข่าวสาร โปรโมชั่น ส่วนลด หรือโทรศัพท์ไปติดต่อขายของ เป็นต้น ก็จะมีปุ่มยินยอมขึ้นมา หรือปุ่มปฏิเสธขึ้นมา แต่พอกดปฏิเสธไปกลับไม่ให้เข้าแอป กรณีนี้ถือว่าผิดตามหลักกฎหมาย PDPA เพราะเจ้าของแอปพลิเคชั่นนี้เอาเรื่องความยินยอมมาเป็นเงื่อนไขในการเข้ารับบริการ ซึ่งความยินยอมของลูกค้าจะต้องสามารถให้โดยสมัครใจ ซึ่งปัจจุบันทำแบบนี้ไม่ได้

เบื้องต้นทุกคนควรมีความรู้ในเรื่องของกฎหมาย PDPA โดยสามารถไปหาข้อมูลด้วยตนเองง่าย ๆ ได้ที่ เว็บไซต์สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) https://www.pdpc.or.th ซึ่งจะมีคลังความรู้เกี่ยวกับ กฎหมาย PDPA ให้ได้ศึกษา ซึ่งทุกองค์กรไม่ว่าจะมีขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ จะต้องมีเจ้าภาพ  ดังนั้น ผู้บริหารอาจจะมอบให้แต่ละฝ่ายส่งผู้แทนและตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นมาเพื่อดูเรื่องนี้โดยตรง และแบ่งหน้าที่กันว่าฝ่ายไหนจะดูเรื่องอะไร เช่น ฝ่ายกฎหมายรับผิดชอบในเรื่องของข้อกฎหมาย เป็นต้น  อย่างไรก็ดี คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีบริการให้คำปรึกษากฏหมาย PDPA และกฎหมายอื่นๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถเข้ารับบริการได้ตามช่องทาง E-Mail:law@utcc.ac.th หรือ โทร.02-697-6805

คุณศรัณยู ชเนศร์  กรรมการเหรัญญิก หอการค้าไทย

ที่ผ่านมาธุรกิจโรงพยาบาลมีการใช้กฎหมายคุ้มครองสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 โดยยึดตามพรบ.สุขภาพแห่งชาติ โดยมีเนื้อหาหลักคือการคุ้มครองข้อมูลของคนไข้หรือผู้เข้ามาใช้บริการ ที่ทางโรงพยาบาลจะไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ ต่อมาเมื่อมีกฎหมาย PDPA เกิดขึ้นและได้มีการบังคับใช้อย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน 2565 ธุรกิจโรงพยาบาลจึงต้องมีการศึกษา อัปเดตข้อกฎหมาย และนำมาปรับใช้ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดนโยบาย รวมถึงมีมาตรการของโรงพยาบาลออกมาควบคุม ซึ่งต้องสร้างความตระหนักรู้ ให้ความสำคัญ และปฏิบัติตามนโยบายอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงบุคลากรทุกคนในองค์กร

ข้อมูลที่ทางโรงพยาบาลได้มาจากคนไข้ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเช่น ที่อยู่ ชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน เพศ วันเดือนปีเกิด หรือข้อมูลในการติดต่อ ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่มีคนต้องการจากโรงพยาบาลไปใช้ประโยชน์ เช่น บริษัทยาที่พยายามมาขอข้อมูลเพื่อจะได้ติดต่อไปขายยาให้กับคนไข้ แม้กระทั่งข้อมูลความลับในการรักษาก็ต้องระวัง เช่น แม่บ้านทำความสะอาดเข้าไปทำความสะอาดในห้องผู้ป่วย แต่ก่อนเข้าห้องหรือก่อนหน้าได้ยินพยาบาลคุยกับคุณหมอว่าคนไข้คนนี้เป็นมะเร็ง ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นความลับ แต่กลับเข้าไปคุยหรือบอกให้คนไข้ทราบ เป็นต้น ซึ่งเป็นกรณีที่ทางโรงพยาบาลก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะหลุดข้อมูลในกรณีแบบนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่ทางโรงพยาบาลได้กำชับตั้งแต่แพทย์จนถึงระดับเจ้าหน้าที่ แม้กระทั่งแม่บ้าน รปภ. ว่ากฎหมาย PDPA สำคัญอย่างไรเพื่อไม่ให้ข้อมูลหลุดรั่วได้

การเตรียมความพร้อม ในเรื่องของ PDPA แก่บุคลากรในโรงพยาบาล

  1. ศึกษาข้อกฎหมาย โดยมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเป็นที่ปรึกษาช่วยแนะนำ และในการออกนโยบายหรือมาตรการ 
  2. ประกาศนโยบาย มาตรการ โดยดึงผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่บุคลากร
  3. มีการทบทวนและอัปเดตความรู้แก่บุคลากรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้การ์ดตก

ตัวอย่างการนำ PDPA ไปปรับใช้ในธุรกิจโรงพยาบาล

  • เนื่องจากข้อมูลการวินิจฉัยหรือการรักษา ถือเป็นข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน โรงพยาบาบาลจึงต้องมีการปิดผนึกผลการรักษาของผู้ป่วยในทุกครั้งก่อนนำส่ง
  • Consent Form ของธุรกิจโรงพยาบาล ต้องคำนึงถึงสิทธิ์ของผู้ป่วยเป็นสำคัญ แต่อย่างไรก็ดี ต้องคำนึงถึงการรักษาชีวิตของผู้ป่วยด้วย เช่น ผู้ป่วยต้องยินยอมให้มีการถ่ายโอนเลือด แม้ว่าจะเป็นข้อห้ามทางศาสนา
     

ตามหลักการของ PDPA เจ้าของข้อมูลหรือผู้เข้ารับบริการ มีสิทธิ์ในข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองทุกประการ กล่าวคือ เมื่อได้ข้อมูลจากโรงพยาบาลไป มีสิทธิ์ที่จะเปิดเผยหรือปกปิดข้อมูลได้ตามความประสงค์ เช่น มาโรงพยาบาลตรวจร่างกายเพื่อไปสมัครงาน คนไข้มีสิทธิ์ที่จะไม่แจ้งให้บริษัทรู้ได้ว่าเป็นโรคอะไร และบริษัทจะมาบังคับโรงพยาบาลให้เปิดเผยข้อมูล ของผู้ป่วยถึงแม้ว่าบริษัทนั้นจะเป็นคนที่จ่ายเงินเให้กับผู้ป่วย มาตรวจก็ตาม โรงพยาบาลก็ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลให้ได้ หากเจ้าของข้อมูลปฎิเสธไม่ยินยอมให้เปิดเผยข้อมูล

อีกทั้ง สิทธิ์ในการลบข้อมูล ในส่วนของโรงพยาบาลถ้าเป็นเรื่องที่เป็นคดีความ ทางโรงพยาบาลไม่มีสิทธิ์ที่จะไปลบข้อมูลได้ เช่น ขับรถชนและมีคดีขึ้นศาล จะมาขอให้โรงพยาบาลลบข้อมูลของผู้บาดเจ็บ โรงพยาบาลก็ไม่สามารถทำได้ ส่วนถ้าเป็นกรณีอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นกรณีคดีความ ทางโรงพยาบาลไม่เปิดเผยข้อมูลอยู่แล้ว แต่ทางโรงพยาบาลจะไม่ลบข้อมูลหรือทำลายข้อมูล หากไม่ได้อยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนดทำลายข้อมูล เพื่อเป็นการป้องกันและรักษาประวัติการรักษาของคนไข้และบุคลากรทางการแพทย์ เพราะอาจจะเกิดกรณีที่ผู้ป่วยไม่พอใจแล้วเกิดการฟ้องร้องกับทางโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลก็จะได้มีหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ได้ ทั้งนี้ โรงพยาบาลจะมีกำหนดทำลายเวชระเบียนคนไข้ ทุก ๆ 5 ปี หากคนไข้ไม่ได้เข้ารับบริการติดต่อกันเกิน 5 ปีแล้ว 

.......................................................................................................................................

เรียบเรียงและสรุปโดย : ฝ่ายพัฒนาสมาคมการค้า
นายกิตติพงศ์ กานดาวรวงศ์
ข้อมูล ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2567